พฤศจิกายน 25, 2024, 05:16:33 ก่อนเที่ยง

ข่าว:

SMF - Just Installed!


วัยเก๋าเล่าเรื่องเที่ยว ท่องโลกกว้าง หลังเกษียณ

เริ่มโดย Sompong, พฤศจิกายน 24, 2021, 09:21:45 หลังเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

Sompong


วัยเก๋าเล่าเรื่องเที่ยว ท่องโลกกว้าง หลังเกษียณ ฉากที่1

วัยเก๋าเล่าเรื่องเที่ยว....ตอน..."ท่องโลกกว้าง หลังเกษียณ" ฉากที่1....หลังจากผมเกษียณการทำงานมาเมื่อปี 2012 หลังบ้านเราเจอน้ำท่วมใหญ่มาหนึ่งปี ได้เวลาตามหาความฝัน ผมว่าคนหลายๆคน ถือว่าส่วนใหญ่เลยก็ว่าได้ มีฝันที่อยากจะท่องเที่ยวไปในที่ต่างๆ ผมเป็นหนึ่งในนั้น ทริปนี้จัดไว้ยาววววว มว๊ากกกก แต่ไม่อยากบอกก่อนว่าไปที่ไหนบ้าง เอาว่าอยากรู้ต้องติดตามครับ จากที่เราเคยได้รับ VISA 10 ปีของอเมริกา ถ้าจะข้ามไป CANADA ก็ไปขอ VISA CANADA เพิ่ม ทริปนี้ ไปอเมริกา คานาดา ส่วนจะไปที่ไหน อย่างไร ตามมาเลยครับ
ทริปนี้ มีครอบครัวผม สี่คน ลูกพี่ลูกน้องอีกคน กับเพื่อนภรรยาอีกคน รวมหกคน เราเริ่ม บินเข้า ที่เมือง Los Angeles รัฐ California ซึ่งอยู่ฝั่งตะวันตก ( West Coast) ของสหรัฐอเมริกา ปกติถ้าไปจากไทย คนจะบินเข้าที่เมืองนี้ หรือไม่ก็ San Francisco สมัยนั้นสายการบินส่วนใหญ่จะต้องไปเปลี่ยนเครื่องที่ โซล หรือ นาริตะ หรือ ฮ่องกง  เราเปลี่ยนเครื่องที่ไหนก็จำไม่ได้แล้ว เหมือนช่วงนั้น การบินไทยมีบริการบินตรงจากกรุงเทพฯ ไปนิวยอร์ค ด้วย มาเลิกบินเส้นทางนี้ตอนหลังๆ....เราจองโรงแรมไว้ที่ใกล้ๆสนามบิน สมัยก่อน การหาจองโรงแรมก็มีไม่กี่ Website นะ Google Maps ก็ไม่มี ผมเคยมาที่ LA มาก่อนสมัยทำงานก็พอรู้จักที่เที่ยวที่นี่อยู่บ้าง...อเมริกาแทบจะบอกว่าห่างจากไทยประมาณครึ่งโลกพอดี เวลาเคร่าๆ ถ้าบ้านเราเที่ยงวัน บ้านเขาก็จะเที่ยงคืน และมันเป็นการเดินทางวิ่งไล่เวลา ใช้เวลาบินรวมๆ ยี่สิบชั่วโมง บวก/ลบ ครับ เราออกจากกรุงเทพฯ วันที่ 11 เมษา 2013 ถึง LA ช่วงเย็นๆของวันที่ 12 พอไปถึง ผ่าน ตม ก็ตรงไปที่พัก เช็คอิน แล้วไปหาอะไรกินกันหน่อยแล้วก็แยกกันพักผ่อน
เช้าวันรุ่งขึ้นเราไปตะลุย Universal Studio Universal Studio กัน ที่ LA นี่มีทั้ง Universal Studio และ Disneyland เรามีเหตุผลเล็กๆว่าทำไมเลือกไป ที่ Universal  ไม่ไป Disneyland เอาไว้ฉากที่2 จะมาเฉลยนะครับ.. Universal Studio คือสวนสนุกที่นำเอาฉากเด็ดๆของหนังที่ผลิตโดยบริษัท Universal เช่น Jurassic, Mummy, Transformers เป็นต้น จัดที่แสดงโชว์พร้อมเครื่องเล่นที่เกี่ยวข้องกับหนังแต่ละเรื่องไว้เป็นจุดๆ แต่ละแห่งมีเครื่องเล่นประกอบ พอตอนใช้เครื่องเล่นก็ยากที่จะถ่ายรูปมาให้ชม เพราะมันจะเหวี่ยงบ้าง เป็นรถไฟด่วนบ้าง ถ้าต้องให้ได้ฟิลต้องไปชมเองละครับ เล่ายังไงก็ไม่ได้บรรยากาศหรอก ....LA ได้ชื่อว่าเป็นเมืองแห่งภาพยนต์ มีการทำป้ายยักษ์ ไว้บนเขา ประกาศศักดาว่า ที่นี่คือเมือง Hollywood อยากบอกว่าผมเคยเสล่อคิดว่าบนยอดเขาคงมี ร้านรวง โรงถ่ายทำหนัง เปล่าเลยมันคือยอดเขา มีถนนตัดขึ้นไปเท่านั้น ส่วนไอ้เจ้า Hollywood คือชื่อถนนเส้นหนึ่งในเมือง ที่มีกิจกรรม ตึกสำนักงาน ที่เกี่ยวกับการสร้างหนัง หรือที่นัดเจอกันของดารา สัญลักษณ์ ที่เราเห็นบ่อยๆคือ ชื่อดารายอดนิยมที่สลักไว้กลางรูปดาวห้าแฉกอยู่บนทางเท้า หรือ โรงหนังสไตล์จีน ที่เขานิยมจะเปิดฉายหนังรอบปฐมฤกษ์ให้ดาราและแขกผู้มีเกียรติคนสำคัญเข้าชม... เช้าวันที่ 14 เราขึ้นรถไฟฟ้า มารอขึ้น Hop Bus ที่ Santa Monica เป็นชุมชนติดทะเล ตัวชุมชน จริงๆแล้วตั้งอยู่บนผาสูงหน่อย มองลงไปถึงจะเห็นชายหาดทอดยาวอยู่ด้านล่าง หลังจากชมวิวพอได้บรรยากาศ เราก็จับรถ Hop Bus ตะลอนชมเมือง LA ก็ได้ไปลงย่าน ถนน Hollywoodนี่แหละ เรื่องมันต้องได้ภาพที่นี่ไม่งั้น เดี๋ยวมีคนแซวว่าเที่ยวทิพย์....บนถนนเส้นนี้มีนักท่องเที่ยว ผู้คนเดินกันขวักไขว่ หลังจากได้รูปสมใจแล้วเราก็ขึ้นรถ Hop ตะลอนไปอีกหลายแห่ง ได้ลงทานเที่ยง แถวย่านอะรูไม่ไร้ อาหารแบบฝารั่งรสชาติดี อร่อยจนติดใจกันไป....เริ่มบ่ายๆ ต้องแวะเยี่ยมหมู่บ้านเพื่อนซะหน่อย ที่นี่คือ  Beverly Hills....เห็นว่าแต่ละหลังต้องมีไม่น้อยกว่า ห้าร้อยล้านเหรียญ ส่วนใหญ่ก็เป็นของดารา Hollywood หรือ นักการเมืองผู้ทรงเกียรติ ไม่ก็พวกมหาเศรษฐี...ส่วนเราก็ได้แค่ถ่ายรูปมาอวดกัน ตะลอนกันจนเย็นก็กลับโรงแรม พรุ่งนี้ต้องเดินทางอีกไกล.....






























Sompong


วัยเก๋าเล่าเรื่องเที่ยว ท่องโลกกว้าง หลังเกษียณ ฉากที่2

วัยเก๋าเล่าเรื่องเที่ยว....ตอน..."ท่องโลกกว้าง หลังเกษียณ" ฉากที่2....เช้าวันที่ 14 เมษายน 2513 วันนี้เที่ยวบินเราออกแต่เช้า 8:30 น. เวลาที่ LA มันเป็นเรื่องของความหลังครับ คือเมื่อปี 2010 ผม ภรรยา และลูกสาวได้ไปพักอยู่ใน สวนสนุก Disney World ที่อยู่ที่เมือง Orlando รัฐ Florida ประทับใจเพราะปีนั้นได้เข้าไปพักใน Resort เป็นบ้านพักเป็นหลังๆอยู่ใน Disney World เลย จึงเป็นความทรงจำที่อยากกลับมาหาความประทับใจนั้นอีก....แล้วเข้าไปพักที่นี่ได้อย่างไร ขอค้างคำตอบไว้ก่อนนะ....หลายคนคุ้นเคยกับ Disneyland ที่มีอยู่หลายแห่งทั่วโลก เช่น LA, ญี่ปุ่น หรือ ฮ่องกง.....Disneyland ก็ว่าใหญ่แล้ว มีเครื่องเล่นมากมาย มีโชว์ ทั้ง Day Parade และ Night Parade เป็นที่ตื่นตาตื่นใจ....แต่ Disney World อลังการประมาณ ห้าเท่าของ Disneyland ที่ Disney World เขาแบ่งสวนสนุก เป็นสองกลุ่ม กลุ่มที่เป็นสวนธรรมดา กับสวนน้ำ เอาแค่สวนธรรมดา เขาเรียกว่า Theme Park ทั้งหมดมี 4 Theme Park ที่ว่ามันอลังการ เพราะ หนึ่ง Theme Park มีขนาดพอๆกับDisneyland แต่นี่มันมีถึง 4 Theme Park คือ Magic Kingdom, Epcot,Disney Hollywood และ Animal Kingdom แถมมีอีกหนึ่งย่านการค้าที่เรียกว่า Disney Downtown และข้างใน Disney World มี Resort อีกหลายแห่ง มันเลยใหญ่ประมาณอำเภอเล็กๆเลยทีเดียว มันเลยต้องมีรถเมล์ รถไฟฟ้าบริการกันภายใน Disney แล้วจะใช้บริการเข้าชมได้อย่างไร มันมีการขายตั๋ว ทาง Online เราสามารถซื้อตั๋วเพื่อเข้า Theme Park เดียวก็ได้ หรือ ซื้อตั๋วเข้า 4 Theme Park เลยก็ได้ มีให้ใช้ 5 วัน หรือ 7 วัน ส่วน Downtown นั้นไม่มีการเก็บตั๋ว ผมเลือกจองซื้อ แบบ 5 วัน เมื่อซื้อ เราก็จะพิมพ์ Voucher ซื้อทาง Online ราคาจะถูกกว่านิดหน่อยครับ แล้วเอา Voucher ไปขึ้นตั๋วที่โน่น ผมจำไม่ได้ว่า มันมีห้องตั๋วทุก Park หรือเปล่า น่าจะมีนะ.....
เอ้ามาตอบเรื่องที่ค้างไว้ว่า เมื่อปี 2010 ผมไปนอนที่ Resort ที่อยู่ใน Disney World ได้อย่างไร เป็นบ้านหนึ่งหลัง มีสองชั้นเราได้อยู่ชั้นบนทั้งชั้นนะ มีห้องนอนใหญ่หนึ่งห้อง ห้องอาหารกับครัว และส่วนนั่งเล่น Sofa อยู่ในห้องโถง ซึ่ง Sofa สามารถปรับเป็น Sofa Bed ที่นอนได้อีกสองคนมีชุดเครื่องครัวครบครัน มีเครื่องซักผ้า อบผ้า เพื่อนๆคิดว่าค่าที่พักคืนละเท่าไร่ครับ?? อย่าถามผมนะผมไม่รู้ แต่คิดๆว่า ประมาณ หมื่นสอง ถึง หมื่นห้าพันบาทต่อคืน ที่ผมได้ไปพักที่นี่ เรื่องมันมีอยู่ว่า มีClubหนึ่งมาขายสมาชิก แล้วผมก็หลวมตัวไปซื้อเข้า แล้วเมื่อเป็นสมาชิก Club นี้แล้ว เราไปเข้ากับบริษัทที่รับแลกเปลี่ยนที่พัก สามารถจองพักกับโรงแรม หรือ Resort ที่เป็นข่ายในบริษัทนี้ได้ทั่วโลก....แต่เงื่อนไขคือสถานที่ ที่เราจะไปจอง ต้องมีห้องว่าง เขาเรียกว่าการแลกห้องกัน เวลาเราแลกห้อง เราไม่ต้องเสียค่าห้อง แต่ต้องเสียค่าธรรมเนียมในการแลก นิดหน่อย ประมาณ 6-7 พันในการเข้าพัก หนึ่งสัปดาห์  นั่นคือปี 2010 เลยติดใจอยากไปอีก.....แล้วจะได้พักไหม ต้องติดตาม!!!
ถ้าสังเกตดีๆ จะเห็นว่าเวลาบินเราคือ 8:30 น. เวลาที่ LA ที่ต้องพูดเช่นนี้ เพราะเรากำลังจะบินจาก LA ที่อยู่ชายฝั่งตะวันตก (West Coast) ไปเมือง  Orlando Florida ซึ่งอยู่ชายฝั่งตะวันออก (East Coast) เนื่องจากประเทศสหรัฐอเมริกา มันกว้างใหญ่ ระหว่างสองฝั่งมีเวลาแตกต่างกัน สามชั่วโมง ใช้เวลาบินราวๆ เจ็ดชั่วโมงครึ่ง ไกลกว่าบินจากกรุงเทพฯ ไปโตเกียวอีก ไกลมว๊าก เราเลยแทบไม่เจอนักท่องเที่ยวไทยเลย เพราะ คนไทยมักไป LA หรือ San Francisco หรือ New York ในหมู่เพื่อนๆผม เท่าที่ผมทราบ มีคนเคยไปเที่ยวชม Disney World แค่ไม่กี่ท่านครับ แต่ใน Disney World มี่เด็กไทยสมัครไปฝึกงานที่นี่เยอะนะครับ ปีๆหนึ่งเป็นร้อยถึงสองร้อยคนทีเดียว
ทริปคราวนี้ เราไม่ได้พัก Resort ใน Disney World เพราะช่วงที่เราไป มันไม่มีห้องว่างเลยชวด ฉลู ขาน เถาะ เลย แต่เราได้ห้องชุดของ Sheraton อยู่ไม่ห่างจาก Disney World มากนัก ห้องชุดก็ไม่ใช่ห้องพักแบบโรงแรมนะครับ มันมีอุปกรณ์คล้ายๆกับ Resort ที่ผมเล่ามา แต่คราวนี้เราไปกัน 6 คน ผมเลยเลือก แบบ สองห้องนอน กับ หนึ่ง Sofa Bed พักรวมกันได้ หกคน ลำบากแค่ ต้องนั่งแท็กซี่ ไปขึ้นรถบัส ของ Disney ทุกวัน แต่ไม่ไกลมาก ค่าแท็กซี่ก็ไม่แพง ไอ้เจ้าโรงแรม Sheraton ที่เราไปพัก มันโครตะระใหญ่มาก มีตึกแบบเดียวกัน หลายหลัง เล่นเอาหลงตึกไปหลายยกเหมือนกัน เราไปถึง Orlando ก็มืดแล้ว รู้สึกเรามี Voucher ของ Disney World เราเลยใช้บริการ รถบัสของ Disney ที่เขาบริการนักท่องเที่ยว ไปส่งที่สถานีรถบัสของเขา แล้วเราต่อรถแท็กซี่ไปโรงแรม หรือเราใช้ Shuttle ของโรงแรม ผมก็จำไม่ได้แล้ว แต่เราไปถึงโรงแรมก็เย็นมากแล้ว.....


















Sompong


วัยเก๋าเล่าเรื่องเที่ยว ท่องโลกกว้าง หลังเกษียณ ฉากที่3

วัยเก๋าเล่าเรื่องเที่ยว....ตอน..."ท่องโลกกว้าง หลังเกษียณ" ฉากที่ 3....เมื่อตอนที่แล้วได้เล่าให้ฟังว่า Disney World มี่ 4 Theme Park ใหญ่ๆ ต้องซื้อตั๋วผ่านเข้าไป กับอีกแหล่งขายของที่ระลึกคือ Disney Downtown  ที่ Disney Downtown เข้าฟรีครับ เราเลือกไปที่นี่ก่อนในวันที่ 15 เมษายน 2013 ที่นี่ประมาณ สยามสแควร์ บ้านเรา แต่ ร้านค้ามีทั้งติดๆกัน และตั้งห่างๆกัน ตรงกลางเป็น สระกว้างๆ น่าจะเป็น Pond มากกว่าเป็น Lake คือพื้นที่ที่ Florida เป็นที่ต่ำ มีสระ ทะเลสาบ คูคลองเยอะมาก แถมมีจระเข้ มากซะด้วย สนามก๊อล์ฟบางสนามที่นี่จะพบไอ้เข้มานอนผึ่งแดดบ่อยมาก....ร้านรวงที่นี่มีลูกเล่นลูกฮา ดึงดูดลูกค้า สินค้าส่วนใหญ่ คือของที่ระลึก เช่นพวกตุ๊กตุ่น ตุ๊กตา ที่แทนตัวแสดงในหนังการ์ตูนของ Disney แน่นอน ต้องมี Micky Mouse ที่นี่กว้างมาก เรา ก็เดินกันเช้ายันเย็น ที่เลือกที่นี่เป็นแห่งแรกเพราะต้องการสร้างความคุ้นเคยกับการเดินทางใน Disney World ด้วย แต่ถ้าท่านที่ไปเที่ยวที่นี่แล้วมีเวลาน้อย ก็ไม่แนะนำให้ไปเสียเวลากับ Disney Downtown เพราะ Theme Park แต่ละแห่งก็มีร้านขายของที่ระลึก แค่อาจมีน้อยร้านกว่า

เช้าวันที่ 16 1013 ได้เวลาตะลุย Theme Park ที่แรกที่เราไปคือ Epcot อย่างที่เล่าให้ฟังว่าเราพักอยู่ที่โรงแรม Sheraton ซึ่งอยู่นอก Disney World เราต้องนั่ง แท็กซี่ ง่ายๆก็ให้ฝ่ายต้อนรับของโรงแรมเรียกให้ ราคาก็ไม่แพงครับ น่าจะราวๆ 300-400 บาทไทย เรานั่งแท็กซี่ไปลงที่ชุมสายรถเมล์ จะไป Theme Park ไหนก็ต้องรอรถเมล์สายนั้น รถเมล์นี่วิ่งไปถึง Resort ต่างๆภายใน Disney World ด้วย อย่างที่บอก ว่ามันใหญ่ราวอำเภอเล็กๆของบ้านเราเลยครับ..... Epcot คือ Theme Park ที่แสดงเรื่องเกี่ยวกับโลกอนาคต เทคโนโลยี่ล้ำๆ เรื่องเกี่ยวกับอวกาศ รวมไปถึงเครื่องเล่นต่างๆก็มาแนวๆนี้ มีโรงหนังที่ที่นั่งเป็นอัฒจรรย์ แต่มันจะยกเอียงไปมาได้ตามหนังเลย แล้วมีหนังประมาณ 360 องศา เหมือนพาเราเหาะไปชมท้องฟ้าทะเลน้ำตก.... มีเหมือนยานอวกาศ ให้เราเข้าไปอยู่ในยานแคบๆ แล้วเหมือนขึ้นจรวดออกไปนอกโลก ได้สัมผัสกับแรง G เลย มีแบบรุ่นแรงระดับคนสูงวัย กับของวัยรุ่น ตอนแรกของของคนสูงวัย เออสนุกดี เลยไปลองแบบวัยรุ่น เล่นซะแทบอ๊วกแตก....มีรถไฟด่วน Roller Coaster แน่นนอน วิ่งอยู่ในโดมมืดๆ นี่ก็แทบอ๊วก... มีมุมที่เป็นส่วนโบราณอยู่บ้าง มีส่วนที่แสดงชีวิตใต้ทะเล ส่วนที่แสดงการปลูกพืชผักในโรงเรือน ที่เด็ดสุดๆของที่นี่คือ หัวค่ำมีงานแสดงพลุ แต่คนเยอะมากจนหาที่ตั้งขากล้องไม่ได้ แถม ฝีมือการถ่ายพลุของผมสมัยนั้นอยู่ขั้น อนุบาล 1 พอหมดการแสดงพลุก็ได้เวลารวมพลกลับโรงแรม เห็นไหมครับว่า เราเลือกที่นี่เป็นวันที่สองที่มาถึง เพราะมัน ต้องเดิน...เดิ้น....เดิน เช้ายันมืน แนะนำว่าใครจะมาเที่ยว คงต้องฟิ๊ตร่างกายกันหน่อยนะ และหารองเท้าที่เดินสบายๆด้วยนะครับ ไม่งั้นงานกร่อย แน่ๆ





























Sompong


วัยเก๋าเล่าเรื่องเที่ยว ท่องโลกกว้าง หลังเกษียณ ฉากที่4

วัยเก๋าเล่าเรื่องเที่ยว....ตอน..."ท่องโลกกว้าง หลังเกษียณ" ฉากที่ 4....เช้าวันที่ 17 วันนี้เราจะไป Theme Park ที่สองคือ Disney Hollywood พอเดาออกไหมว่า Park นี้เขาจะนำเสนออะไรเอ่ย??? ถูกต้องครับ พอขึ้นว่า Hollywood ก็ต้องเสนอเรื่องหนังที่ผลิตโดย บริษัท Walt Disney จะมีโชว์จัดกันไว้เป็นจุดๆ แห่งแรกที่เราไปคือโรงละคร วันนี้เขาแสดงเรื่อง ทรามวัยกับอสูร Beauty and the Beast ประมาณละครเวที....จากนั้นเราไปให้ผีหลอกที่ตึกผีสิง เขาให้เข้าไปนั่งในลิฟต์ แล้วปล่อยลิฟต์ให้ ร่วง บางห้องเปิดมา เจอหุ่นผีมาหลอกซะหน่อย ตอนปล่อยลิฟต์นี่ตัวลอยเลยครับ ดีที่มีคันล็อกที่ตัก....ได้ไปชม โรงแสดงหนัง The Pirate ก็สนุกสนานดี แต่ละจุดต้องเข้าคิวชมเป็นรอบๆ แต่รอไม่นาน ไม่เหมือนที่ Tokyo Disneyland บางจุดรอนานเป็นชั่วโมงเลย เว้นแต่ใช้บัตรผ่าน แบบ Fast Track ปกติต่อบัตรเข้า Park หนึ่งใบ เขาจะให้เราเลือกใช้ Fast Track ได้สองจุดนะ ถ้าจำไม่ผิด เราต้องเลือกใช้กับจุดยอดนิยม....สำหรับที่นี่จุดที่ตื่นตาตี่นใจ เป็น Highlight  คือการแสดงการขับขี่รถผาดโผน ทั้งรถยนต์ มอเตอร์ไซด์ เจ็ตสกี ตีกันวุ่น ลอดระเบิดเพลิงลุกท่วม ไม่รู้จะบรรยายอย่างไร....ตกกลางคืนมีการแสดง แสงสีเสียง เล่าเป็นเรื่องเป็นราวให้ชมกัน ส่วนใหญ่ ก็รวมมิตรเล่าเรื่องหนังของเขาแหละ มีฉายผ่านม่านน้ำ ประกอบน้ำพุ กับพลุ ไม่ค่อยได้ดูที่ไหนมาก่อนก็ตื่นตาตื่นใจดี.....จบโชว์แสงสีเสียง ก็เป็นอันว่าถึงเวลากลับโรงแรม....วันนี้คุณพิมพ์ ขอสละสิทธิ์ เพราะรองเท้าทำพิษมาหลายวัน เธอเลยอยู่เฝ้าโรงแรม และเตรียมอาหารเย็นให้พวกเรา ห้องที่เราพักมี มุมครัว พร้อมอุปกรณ์ สามารถทำอาหารได้.....อาบน้ำ ทานอาหารอร่อย เก็บแรงไว้เจอ Theme Park ที่ใหญ่ และขึ้นชื่อที่สุดของที่นี่.....พรุ่งนี้

































Sompong


วัยเก๋าเล่าเรื่องเที่ยว ท่องโลกกว้าง หลังเกษียณ ฉากที่5

วัยเก๋าเล่าเรื่องเที่ยว....ตอน..."ท่องโลกกว้าง หลังเกษียณ" ฉากที่ 5....ชุดที่1...วันนี้เราจะมาท่อง Theme Park ที่สาม  ของ Disney World...... Magic Kingdom อาณาจักรแห่งเวทยมนต์ ถ้าใครมา Disney World แล้วมีเวลาจำกัด อาจต้องตัดบาง Theme Park ออก ขอบอกว่า จะตัด Park ไหนก็พอได้ แต่ห้ามตัด Park นี้เด็ดขาดครับ เพราะ Magic Kingdom เปรียบเสมือน Signature ของ Disney World ก็ว่าได้.... วันนี้วันที่ 19 เมษายน 2013 .....ถ้าผมจำไม่ผิด การเดินทางจาก สถานีชุมทางรถมาที่ Magic Kingdom เป็น Park เดียวที่ใช้ รถไฟ ไม่ได้ใช้รถบัสเหมือน Park อื่นๆ น่าจะเป็นเพราะ ผู้เข้าชมที่นี่มีเยอะมาก คงจะมีอะไรดีๆแน่เลย.....จากทางเข้าเราจะเห็น ปราสาท ที่เป็นสัญลักษณ์ ที่เปิดเป็นโลโก้ของหนังของ Walt Disney ทุกๆเรื่อง มีหลายคนให้ความเห็นว่า ปราสาทนี้เลียนแบบมาจาก ปราสาท นอยชวานชไตน์ Neuschwanstein Castle แถวแคว้น บาวาเรียของ เยอรมันนี.... ตอนที่เราเดินตามถนนหลักไปที่ปราสาท ก็จะมีร้านรวงขายของที่ระลึก มีมุมเครื่องเล่น ก็เป็นเช่นสวนสนุกทั่วไป แต่ที่เด็ดช๊อตแรกของที่นี่เริ่มที่ Day Parade อยู่บนเส้นทางตั้งแต่ถนนหลังปราสาท แล้วจะเดินเลยไปถนนหลักหน้าปราสาท...คนมารอกันแน่นสองข้างทางไปหมด เราได้จองที่ตรงหัวโค้งพอดี พาเรดนี้ ประมาณเดียวกันกับที่ Tokyo Disneyland หรือ LA Disneyland ส่วนใหญ่ก็เป็นการนำตัวเอกๆ หรือฉากเด็ดจากหนังของ Walt Disney ประกอบกับการเต้นจากนักเต้นที่ใส่เสื้อผ้าสีฉูดฉาด แน่นอนต้องมี Mickey Mouse, The Beast มี แม่มด มีซินเดอเรล่า พาเรดน่าจะร่วมๆชั่วโมงหนึ่งนะ....จบจาก Day Parade เราไปชมโรงละคร แสดงตุ๊กตา แต่ต้องนั่งเรือ พาไหลวกไปวนมา มีหุ่นตุ๊กตา หมุนไปหมุนมา กับเสียงเพลงกระหึ่มไปตลอดทาง เป็นเพลงตุ๊กตา ทำนองแบบ คล้ายๆ เพลง Merry Christmas....ออกจากที่นี่เราไปล่องเรือจริงๆ เขาป่า ประมาณ อเมซอน มีหุ่น สัตว์ มาให้ดู เผินๆเหมือนของจริงเหมือนกันเมื่ออยู่ในกลางป่ารกๆ.....รอชมMagic Kingdom ชุดที่2ต่อ นะครับ

































Sompong


วัยเก๋าเล่าเรื่องเที่ยว ท่องโลกกว้าง หลังเกษียณ ฉากที่6

วัยเก๋าเล่าเรื่องเที่ยว....ตอน..."ท่องโลกกว้าง หลังเกษียณ" ฉากที่ 6....เราตะลุยมา สาม Theme Park กับ Disney Downtown ยังเหลือ อีกหนึ่ง Theme Park Animal Kingdom!! วันนี้วันที่ 20 เมษายน 2013 ได้เวลาจบที่สวนสนุกท้ายสุดที่เป็นอาณาจักรสัตว์ แน่นอน ที่สุดของมันคือ สวนสัตว์ นั่นเอง แต่ขึ้นชื่อว่า Walt Disney หรือจะมีแค่สวนสัตว์???? มีโรงละคร ตอนที่เราไป เขาแสดงเรื่อง Nemo เจ้าปลาการ์ตูน ที่เวลาเราไปดำน้ำ ถ้าเจอเจ้าปลาการ์ตูนนี่ ก็ดีใจราวถูกหวยเลย จริงๆแล้วการแสดงนี้น่าจะเหมาะกับเด็ก...แต่วันนี้ทุกคนขอเป็นเด็ก.....มีภูเขาไฟกับ Roller Coaster ด้วย....ที่นี่มีส่วนหนึ่งที่เขาทำเป็นสวนป่าฝน แถบบ้านเรา เขาได้จำลอง บ้านเรือน แถบอาเซียนเรา ไว้หลายหลัง.....เดินชมไปมาพักใหญ่ก็ได้เวลาไปชมพาเรด.... โชว์ที่นี่หนักไปทางซาฟารี  มีสัตว์ต่างๆที่เป็นดาราของหนัง Walt Disney มาเดินพาเรดกันมากมาย พาเรดจบ ได้เวลาไปชมสวนสัตว์เปิด ต้องนั่งรถขับพาเราลดเลี้ยวไปชมจุด ชมสัตว์ต่างๆ ส่วนใหญ่ เป็นสัตว์ที่เป็นพวกซาฟารี ที่มาจาก อ๊าฟริกา  ทั้งชีต้าร์ สิงโต ยีร๊าฟ ไอ้เข้ ฮิปโป ช้าง หมูป่า นก.....จนบ่ายแก่ๆ ดูว่าจะครบจบกระบวนความ ยังพอมีเวลา เลยขอกลับไประลึกความหลัง ของ Resort  ที่เราเคยมาพักตอนปี 2010 ชื่อ Old Key West Resort ไปที่นี่เรานั่งเรือ เอ้อระเหย เพราะมันขับมาเรื่อยๆ ออกจาก Animal Kingdom มาที่นี่ เรือพวกนี้ก็บริการฟรี นะครับ...ก็ ได้มาเก็บรูปที่ระทึก ก่อนรอรถเมล์กลับไปที่สถานีชุมทางรถเมล์เพื่อ ต่อแท็กซี่กลับโรงแรม







































วัยเก๋าเล่าเรื่องเที่ยว....ตอน..."ท่องโลกกว้าง หลังเกษียณ" ฉากที่ 6....(ต่อ) เช้าวันที่ 21 เมษายน 2013 เราได้โอกาสละลายทรัพย์ จับแท็กซี่ ตรงไป Premium Outlet Orlando ประมาณคล้าย Premier Outlet ที่บ้านเรา แต่มีของ Brand Name เยอะกว่า แถมลดราคาอย่างห้าวหาญ ชวนให้หลงไหลซื้อไม่ยั้ง น้องที่ไปด้วยถึงกับต้องถอยกระเป๋าเดินทางใบโตมาอีกไป....ก่อนจบที่ Orlando มีข้อแนะนำที่ขอเอามาฝากกันจากประสบการณ์ที่เจอมานะครับ....ข้อแรก เวลาเราเดินทาง โดยการบินสายการบินภายในประเทศ เวลาซื้อตั๋วให้ดูว่า เขารวมให้เรา Load กระเป๋าได้กี่ใบ น้ำหนักเท่าไหร่ อย่าเห็นราคาถูกแล้วลุยเลย บางสายการบินไม่รวมน้ำหนักเลย ดีไม่ดี พอซื้อน้ำหนัก แพงกว่าอีก แต่ภายในประเทศส่วนใหญ่ให้ Load ได้ 1 ใบ น้ำหนัก 50 ปอนด์ หรือใช้หน่วย กก ก็มักจะเป็น  30 กิโล ก็ต้องดูนะว่า Baggage Policy ของAirline นั้นใช้หน่วยวัดไหน แต่สำหรับ สายการบินระหว่างประเทศ มักจะ ให้ Load ได้ 2 ใบ ใบละ 30 กิโล  ผมใช้คำว่า มักจะ เพราะสมัยนี้สายการบินแข่งขันกันมาก อาจจะบอกไม่ค่อยชัด เดี๋ยวต้องซื้อน้ำหนักขึ้นมาจะเสียรู้เขานะ .....ข้อที่สอง กรุณาจองซื้อตั๋วแต่เนิ่นๆ การออกแบบทริปควรมีการจองต่างๆไว้ 4-6 เดือนล่วงหน้า  อย่ามาจองใกล้เวลาเดินทาง เพราะบางทีตั๋วแพงขึ้นเป็นเท่าตัว ข้อที่สาม ให้หมั่นตรวจดู Email ทุกวันโดยเฉพาะวันที่จะเดินทาง บางทีสายการบินภายในประเทศมีการเลื่อนเวลาเดินทาง ถ้ามันเลื่อนเร็วขึ้น เรามีสิทธิ์ ตก Flight ได้.... ข้อที่สี่ เวลาใช้บัตรเครดิต ระวังๆๆๆ  มันจะอ่านโค๊ต บัตรเราแล้วเอาไปใช้ ต้องยืนเฝ้าเวลามันรูด แบบเห็นๆ น้องที่ไปด้วย โดนบริษัทเจ้าของบัตร เรียกเก็บเงิน เป็นการซื้อของจากอีกเมืองที่เราไม่ได้ไปเลย ดีที่เธอเป็นทนายหย่าย บริษัทเจ้าของบัตร เลยต้องถอย....จบจาก Orlando ได้เวลาแยกย้าย ลูกสาว ลูกเขย กับ น้องสาว ต้องเดินทางกลับไปทำงาน อยู่นานกว่านี้กลัวเขาขึ้นเงินเดือนให้ เพื่อนอีกคน จะแวะไปหาเพื่อนที่ New York......ส่วนวัยรุ่น คือ ผมกับภรรยา อยู่ต่ออีก สองสัปดาห์ กะให้คุ้มค่าเครื่องบิน...จะไปไหนต่อ รอติดตามนะครับ.....


Sompong


วัยเก๋าเล่าเรื่องเที่ยว ท่องโลกกว้าง หลังเกษียณ ฉากที่7

วัยเก๋าเล่าเรื่องเที่ยว....ตอน..."ท่องโลกกว้าง หลังเกษียณ" ฉากที่ 7..(ชุดที่1)
..และแล้วก็ได้เวลา ลา Disney World และ Orlando เมืองถัดจากนี้คือ Miami เราได้ยินเมืองชายหาดชื่อกระฉ่อนโลกแห่งนี้มานาน จนมีความรู้สึกว่าจะต้องมาเมืองนี้สักครั้งในชีวิต....ตอนนี้เพื่อนร่วมทริป ต้องแยกย้ายกันไป เหลือวัยรุ่นสองคนตะลุยต่อกันอีกสองสัปดาห์เศษๆ....ผมจองรถบัส ไว้ และต้องไปขึ้นที่ตลาดแห่งหนึ่ง อ้าวนี่ก็ได้เวลาสิบโมงเช้า ยังไม่เห็นที่คิวรถจะมีรถบัสสักคันเลย เอาแล้ว มีเสียวแน่ๆ รอได้ประมาณสิบนาที มีรถมาแล้ว อ้าวไหนว่าบัส มันคือ มินิบัสนี่หว่า...มินิบัสที่นี่ ขนาดใหญ่กว่ารถตู้บ้านเรา บ้านเราไม่มีใช้เลยอธิบายไม่ถูก....จากที่ Orlandoเราต้องนั่งไปอีก 245 ไมล์ จึงจะถึง Miamiใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง 45 นาที ถึงที่พักก็บ่ายๆละครับ ที่พักผมจองไว้ใกล้ชายหาดชนิดเดินประมาณ ร้อยเมตรก็ถึงหาดเลยครับ จองผ่านเว็ปที่ให้จองที่พักนั่นแหละครับ ราคาก็ถูกจนผมประหลาดใจ....พอไปถึงความประหลาดใจก็ได้เฉลย โรงแรมเป็นตึกสามชั้นเก่ามาก แล้วแอร์ ก็ไม่ทำงาน ขอเปลี่ยนห้อง อีกห้องแอร์ก็ไม่ทำงานเหมือนกัน ดีที่อากาศไม่ร้อนมากมาย ก็ขออยู่ชั้นสองเปิดหน้าต่างรับลมกันไป...



































วัยเก๋าเล่าเรื่องเที่ยว....ตอน..."ท่องโลกกว้าง หลังเกษียณ" ฉากที่ 7....(ชุดที่ 2)
เรามาถึงที่นี่บ่ายวันที่ 22 เมษายน 2013 ก็ได้โอกาสไปเดินชายหาด และสำรวจรอบๆโรงแรม ได้ไปหาเสบียง กลับมาทานที่ห้อง เราจะพักที่นี่ สามคืน.....เช้าวันรุ่งขึ้น เราได้เวลา ไปใช้ Hop Bus ที่เราจองมาจากเมืองไทย เราเล็งป้ายหยุดรถไว้ตั้งแต่ วันก่อนแล้ว..... รถจะวิ่งเข้าไป Downtown แล้ววนมาวิ่งรอบถนนหน้าหาด ในเมืองก็มีร้านรวงเหมือนเมืองท่องเที่ยวทั่วไป เราก็ลงรถ Hop Bus เดินตะลอนเก็บรูปกันไป แล้วกลับมาโรงแรม  เราซื้อ Hop Bus ไว้สองวัน วันแรก ตะลุยในเมือง แล้วเล็งว่า วันรุ่งขึ้นจะไปเดินส่วนไหนของหาด....วันแรกกลับมา แอร์ ที่โรงแรมบอกว่าจะมีช่างมาซ่อม มันยังเสียเหมือนเดิม คืนนี้ก็คง เป็นแอร์หน้าต่างต่อไป....เช้าวันรุ่งขึ้นหลังอาหารเช้า เราก็ไปขึ้น Hop Bus แล้วได้แวะตามจุดสนใจที่ชายหาด ร่มของเขาจะเป็นสีเดียวไม่เป็นสีรุ้งเหมือนบ้านเรา ถ้าถามผม ผมว่า หาดบ้านเราก็ดูดีพอๆกัน แต่น้ำทะเลเขาใส เป็นสีเขียวมรกตเลย...555 รู้นะว่าจะถามอะไร ก็ดูจากหนังหลายๆเรื่อง มีสาวๆหุ่นดีมาเล่นน้ำบ้าง มานอนอาบแดดบ้าง ของจริงนะหรือ ห่างไกลมาก หาสาวหุ่นดี ใส่บิกินี่ ไม่มีเลยสักคน นี่ถ้าไม่เกรงใจ จะให้นางแบบที่ไปด้วย ใส่บิกินี ไปเดินโชว์หุ่นซะเลย จะได้รู้ว่าเมืองไทยทำไมเพลง 60 ยังแจ๋ว ก็ดังกึกก้อง..... เราตะลอนชมชายหาดกันพอเหนื่อย ก็เริ่มได้เวลาเย็น คงต้องกลับโรงแรมเก็บสมบัติ พรุ่งนี้นัดรถมารับตอนตีสี่ไปสนามบิน ไปไหนต่อนะหรือ???
รอตอนต่อไปนะ






















Sompong


วัยเก๋าเล่าเรื่องเที่ยว ท่องโลกกว้าง หลังเกษียณ ฉากที่8

วัยเก๋าเล่าเรื่องเที่ยว....ตอน..."ท่องโลกกว้าง หลังเกษียณ" ฉากที่ 8....วันนี้วันที่ 25 เมษายน 2013 เราจะบินจาก Miami ซึ่งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ ของสหรัฐอเมริกา ทแยง ไปทาง ตะวันตกเฉียงเหนือ ของอเมริกา ที่เมือง Vancouver ประเทศ Canada เมืองนี้ อยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ หรือจะพูดว่าใต้สุดของ Canada อยู่เหนือเมือง Seattle ของสหรัฐอเมริกา ระยะเวลาบินแปดชั่วโมงครึ่ง เครื่องต้องลงจอดระหว่างทางหนึ่งครั้ง ในขณะที่เวลาต่างกันอยู่ สาม ชั่วโมง คือ ถ้าเวลาที่ไมอามี่เป็นเวลา 9:00 น. เวลาที่ Vancouverจะเป็น 6:00 น. จะไปที่นี่ทำไม??? ขออุบไว้ก่อนนะ ค่อยมาเฉลย แน่นอนถ้าเข้าประเทศ คานาดา ก็ต้องขอวีซ่า เข้าคานาดามาด้วย อีกเรื่องที่อยากแนะนำ ถ้าใครจะเข้าไปเที่ยวคานาดา กรุณา แลกเงินเหรียญคานาดามาด้วย อย่าได้เอา เงินเหรียญสหรัฐไปแลกที่โน่น หาที่แลกยาก บางแบ้งค์ไม่รับแลก หรือรับก็ต้องชี้แจงกันนัว แถมปกติอัตราแลกเปลี่ยน ของเหรียญคานาดา ถูกกว่า เงินเหรียญสหรัฐ แต่พอไปแลกที่คานาดา บางวันมันปรับราคาเท่ากันเลย เจอมาแล้ว มึนนนน ไปถึง Vancouver ก็ร่วมสี่โมงกว่า ห้าโมงเย็น ผมจองที่พักไว้ที่ Club Intrawest โดยจองผ่าน Member Club ที่ผมเป็นสมาชิก ผมพิมพ์เอกสารใบจอง แต่ดันเก็บไว้ในกระเป๋าใหญ่ พอลงเครื่องก็ขี้เกียจเปิดกระเป๋า  หาที่อยู่ใน Net ก็ได้ฟ๊ะ จับแท็กซี่ได้ก็ตรงไป ตามที่อยู่ที่ได้มาจาก Net.....พอไปถึงถนน ผมมองหาตึกโรงแรม จำได้ว่ามันคุยไว้ในเว็ป เป็นตึกสูงๆราวสามสิบกว่าชั้น....5555แถวนี้ไม่มีเลย สักตึก ให้แท็กซี่วนหาก็ไม่เจอ ก็เลยให้เขาจอดให้ลงข้างถนน แล้วให้สาวน้อยของผมยืนเฝ้ากระเป๋า ผมก็เดินหาตามเลขที่บ้านที่ได้มา....เจอแล้วตึกไม่กี่ชั้น มี รปภ นั่งเอกขเนก ดูไม่เหมือนโรงแรมเอาซะเลย เอาแล้วเราถูกเทแน่ๆเลยตอนนี้ก็เกือบ หกโมงเย็น....ผมเลยเข้าไปถาม รปภ ว่า รู้ไหมว่า Reception ของที่พักของ Club Intrawest อยู่ส่วนไหนของตึกนี้ คุยกันอยู่พักหนึ่ง ได้คำเฉลย คือ ตึกนี้เป็นอาคารสำนักงาน ตอนนี้พนักงานเขาเลิกงานกันไปแล้ว ส่วนที่พัก อยู่ที่โรงแรม Sheraton อยู่ในเมืองละครับ ผมรีบเดินกลับมาหาคุณภรรยาคิดว่าคงขี้มูกโป่งไปแล้ว.....พอเธอเห็นหน้าผม กลับแซวมาทันทีว่า อูหู หน้าซีดเชียว....สรุปว่าต้องจับแท็กซี่ย้อนไปที่ โรงแรม Sheraton (ชื่อเต็มๆคือ Sheraton Vancouver Wall Centre) คือไอ้เจ้า Club นี้เช่าที่ สามชั้นบนสุดของโรงแรม มาทำห้องพักให้สมาชิก เอาว่าได้ เช็คอิน เรียบร้อย ห้องนอนส่องวิวอ่าว สวยงาม พระอาทิตย์กำลังจะตกพอดี...





























ช่วงที่เราไปเป็นช่วงหน้าร้อน ดอกไม้กำลังออกดอกเต็มเมืองไปหมด โดยเฉพาะดอกทิวลิป หลังอาหารเช้า ในวันรุ่งขึ้น เรากะเดินสำรวจเมือง โดยจะพากันเดินไปทางท่าเทียบเรือ เรียกให้เท่ห์คือ  Waterfront เขาปลูกดอกไม้ โดยเฉพาะทิวลิปไว้ หน้าอาคาร หรือตรงไหนที่พอจะมีสวน และมันกำลังออกดอกสะพรั่งเลย เดินชมไปถ่ายภาพไป มันก็ไกลนะ แต่ไม่รู้เดินได้อย่างไร จนไปถึงท่าเทียบเรือ มีปฏิมากรรมล้ำๆให้ดูอยู่บ้าง มีรูปเหมือนเข็มสีน้ำเงิน เมืองนี้คงมี เรื่องราวอะไรเกี่ยวกับเข็มแหงๆเลย....มีเรือรบเรือดำน้ำดำทะมึนจอดอยู่ที่ท่าเรือ เดินไปอีกหน่อยเจอกับสนามบินน้ำ มีเครื่องบินจอดอยู่หลายลำ เห็นว่ามีบริการบินท่องเที่ยว เราได้มีโอกาสลงไปหาอะไรกินที่ Food Court ที่ Waterfront....เดินไปชมดอกทิวลิป หลากสี หลากพันธุ์ และบางพันธุ์มีรูปดอกแปลกตาไปจากที่เราคุ้นเคย ตะลอนกันจนเย็น ช่วงขาเดินกลับเกือบถึงโรงแรม มีร้านขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ขอแวะเข้าไปสักหน่อย....ปกติเราจะคุ้นเคยกับไวน์แดง ไวน์ขาว บางคนก็เป็นคอเฉพาะหน่อยก็จะ ไปเลือกแชมเปญ หรือไม่ก็ Sparkling Wine.....มีใครเป็นแฟนไวน์ หวานๆ หอมๆบ้างไหมครับ? แคนาดามีชื่อเรื่องไวน์หวานหอม เขาเรียกว่า Ice Wine ที่ได้ชื่อนี้เพราะบังเอิญ ไอ้เจ้าคนเยอรมันคนหนึ่ง มันซุกซน ไปเก็บองุ่นช่วงหน้าหนาวที่มีหิมะตกหนัก มาทำไวน์ แล้วก็พบว่าองุ่นช่วงนั้นหวานมาก พอมาทำก็หลงใหลในรสชาติ แล้วอีตาคนนี้ก็ถึงกับย้ายบ้านไปทำไร่องุ่นเพื่อทำไวน์ชนิดนี้ที่แคนาดาซะเลย เพราะที่นี่คงหนาวกว่าเยอรมันมั้ง หมอนี่ชื่อ Karl Kaiser เขามาทำไวน์ชื่อกระฉ่อน คือ Inniskillin มันจะเป็นขวดเล็กๆเรียวยาวๆ ขวดหนึ่งมีราว 200 ซีซี  ราคาตั้งแต่ 60-70 เหรียญ ไปบีนร้อยเหรียญ แล้วแต่พันธุ์องุ่นครับ ที่เมืองไทย ด้วยภาษี 200% ก็ต้องมีหกเจ็ด พันไปถึงเป็นหมื่นบาทละครับ  ไปถึงแหล่งต้นตำหรับอย่างนี้ต้องจัดหน่อย ได้มาสองขวด สบายใจไทย์แลนด์....ถ้าใครไปแคนาดา แนะนำว่าอย่าพลาดนะครับ ผมนี่หลงหัวปักหัวปำเลย.....ไวน์นะครับ ไวน์จริงๆ







































ยังมีภาพของชุด นี้อีกหน่อยครับ

























วัยเก๋าเล่าเรื่องเที่ยว....ตอน..."ท่องโลกกว้าง หลังเกษียณ" ฉากที่ 8....(ชุดที่3)
เช้าวันถัดมา วันนี้เราใช้  Hop Bus ตะเวนแทน รถบัสพาเราออกนอกใจกลางตัวเมือง ไปในแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยม จุดต่างๆ แต่วันนี้อากาศปิด แถมมีฝนปรอยๆ คงลงถ่ายรูปยากหน่อย เราผ่านหน้า พิพิธภัณฑ์ Museum of Vancouver (MOV) แม้ว่าผมเป็นแฟนพิพิธภัณฑ์ แต่คราวนี้ รักจริงหวังแต่งมาไกล เวลาน้อย เห็นทีขอเก็บแค่รูปด้านหน้าเป็นที่ระทึกก็พอ....ถ้าใครมา Vancouver จุดหนึ่งที่ต้องมีรูปคือ นาฬิกาไอน้ำ (The Gastown Steam Clock) ประมาณว่า นาฬิกาไอน้ำมีแค่ สองเรือน ในโลกใบนี้คือ ที่นี่และที่ฮ็อกไกโดของญี่ปุ่น มันตั้งอยู่บนฟุตบาต แถบย่าน Gastown ใกล้ๆกับ Waterfront ที่เรามาเมื่อวาน แถวนี้ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของใจกลางเมืองนี้ด้วยนะครับ จากนั้นรถบัส พาเราไปที่  Stanley Park  ซึ่งตั้งอยู่ที่แหลม ฝั่งตรงข้ามท่าเทียบเรือ  Waterfront.....ที่นี่มีจุดน่าสนใจหลายจุด จุดแรก เป็นกลุ่ม Totem Pole ก่อนจะไปไกล มารู้จักกับไอ้เจ้า Totem Pole  มันคืออะไรหว่า....มันคือเสาไม้เดี่ยวแกะสลักเป็นรูปหน้าคน หรือรูปนก ทาสีฉูดฉาดก็มี ไม่ทาสีก็มี เป็นของชนเผ่าอินเดียแดง เป็นสื่อเพื่อบอกว่ากระโจมนี้เป็นตระกูลไหน วันนี้ ฝนไม่เป็นใจคงเก็บรูปไม่ได้มากมาย ตรงสวนสาธารณะแห่งนี้ มีปติมากรรม อีกหลายอัน เช่น รูปนักว่ายน้ำสาวในชุด Wetsuit นั่งบนก้อนหิน ประมาณ นางเงือกสาวที่สงขลา หรือ เงือกสาว แถวสแกนดิเนเวีย นั่นแหละ มีปติมากรรม Harry Jerome นักวิ่งโอเล็มปิก กำลังวิ่ง และมุมหนึ่งเราจะเห็นสะพานแขวน  Lion Gate Bridge วิ่งข้ามไปอีกฝั่ง ให้วิวสวยไปอีกแบบ แล้วมีปติมากรรม เอาแท่งหินมาวางซ้อนกันคล้ายรูปคน ชื่อ Inukshuk ประมาณว่าเป็น Landmark ของสวนสาธารณะนี้เลยทีเดียว
เราออกจากสวน Stanley ขึ้น Hop Bus ต่อไปยัง Granville Island เป็นท่าจอดเรือ ยอร์ช เรือเล็ก เรือเช่า ท่องเที่ยว ที่นี่ผสมผสานกับตลาด ขายอาหาร ขายผลไม้ มีการทำสิ่งละอันพรรณละน้อย ก็เดินเพลินดีนะครับ เดินกันจนเย็นแล้วเราก็กลับมาย่าน Gastown เป้าหมายคือไปทานอาหารเย็น บนภัตตาคารลอยฟ้า Vancouver Lookout Tower ถ้าไปเมืองไหนที่มี Tower ปกติเขาจะเก็บค่าขึ้น ที่นี่ก็เช่นกัน ถ้าจะขึ้นไปชมวิว ต้องซื้อตั๋ว ในราคา 12 +/- ยูโร  ผมแนะนำให้ ไปทานอาหารที่นี่ซะเลย เพิ่มเงินอีกนิดหน่อย ผมเป็นแฟนพันธ์แท้ของ Tower ไปเมืองไหนถ้ามี Tower ขอจัดโปรแกรม ไปทานเย็นที่ Tower ซะเลย เท่าที่ผมใช้บริการมา อาหารต่อหัวน่าจะราวๆ 35-50 ดอลล่าร์ ครับ พอเป็นแขกของภัตตาคารก็ไม่ต้องซื้อตั๋ว แต่....ควรต้องโทรจองล่วงหน้า เล่นเดินดุ่ยๆเข้าไป อาจเต็มได้นะครับ เวลาที่เหมาะคือ ขึ้นไปก่อนมืด แล้วทานอาหารจนมืด ก็จะได้ชมแสงสีตอนกลางคืน ภัตตาคารแบบนี้ส่วนใหญ่ ส่วนที่นั่งทานอาหารมักจะหมุนช้าๆได้รอบตัว คือชมวิวได้ทุกมุมเลย...ดีไหมครับ ต้องดีแน่นอน ลองชมภาพอาหารดูนะ น่าทานมว๊าก ขอบอก.....





































วัยเก๋าเล่าเรื่องเที่ยว....ตอน..."ท่องโลกกว้าง หลังเกษียณ" ฉากที่ 8...(ชุดที่4)
เช้าวันต่อมา เราใช้ Hop Bus อีกวัน วันนี้เราไป ที่ Stanley Park  อีก แต่เป็นมุมที่ชื่อ  The Rose Garden แต่ช่วงนี้มีแต่ดอก ทิวลิป ไม่มีดอกกุหลาบให้เห็นเลย ที่นี่มีบ้านเก่าๆอยู่หลังหนึ่ง ดอกทิวลิปกำลังเบ่งบานสวยงามมาก เลยเก็บรูปมาอวดกันซะบานเบอะ ออกจาก Rose Garden  ขอแวะกลับไปเก็บภาพที่ Totem Pole เพราวันก่อนฝนตกมาพรำๆ เลยไม่ได้ถ่ายรูปมาเลย วันนี้แดดเป็นใจ...อ้าวเสาไหน บรรพบุรุษใครไปตามหากันเองนะ
วันต่อมาวันนี้เราไปชมสวน ซุน ยัด เซ็น ที่นี่แน่นอนประมาณว่า ย้อนไปประมาณหนังจีนโบราณ มีสวนไม้พุ่มเป็นส่วนใหญ่ และมีศาลาจีน มีสระน้ำ แน่นอนมีต้นหลิวเป็นเอกลักษณ์ วันนี้สบายๆ เบาๆ บ่ายๆก็กลับไปเก็บรูปหน้าโรงแรม พรุ่งนี้เราต้อง เช็คเอ้าท์  เพื่อไป....ที่ที่เราอุบไว้ตั้งแต่วันที่เรามาถึง
และแล้วเช้าวันที่ 30 เมษายน 2013 เป็นวันที่เราต้องบอกลา Club Intrawest หลังอาหารเช้ายังพอมีเวลา เราเลยขึ้นไปสำรวจ สำนักงาน ของ Intrawest มีมุมให้ถ่ายรูป หลายมุม ก่อน จะกลับมาเช็คเอาท์ จับแท็กซี่ ไป Waterfront.....ไปท่าเรือทำไมนะหรือ???? ลองทายดูครับ....แล้วเจอกันที่ท่าเรือนะครับ!!!!



































Sompong


วัยเก๋าเล่าเรื่องเที่ยว ท่องโลกกว้าง หลังเกษียณ ฉากที่9

วัยเก๋าเล่าเรื่องเที่ยว....ตอน..."ท่องโลกกว้าง หลังเกษียณ" ฉากที่ 9....(ชุดที่1)
สายๆ ของวันที่ 30 เมษายน 2013 เราเช็คเอ้าท์ ออกจาก Club Intrawest ที่ Sheraton Wall Centre แล้วจับแท็กซี่ไปที่ท่าเทียบเรือ Waterfront ไปขึ้นเรือสำราญ Carnival Miracle เป้าหมายคือ Alaska มันเป็นอีกความไฝ่ฝันว่า สักวันหนึ่งเราจะไปให้ถึง Alaska ให้ได้...เข้าทำนองฝันให้ไกล ไปให้ถึงหรือเปล่าก็ไม่รู้....โดยปกติ เวลาคนบ้านเราจะไปทริปเรือสำราญ เขาจะซื้อทั้ง Package คือรวมที่พักบนฝั่ง ตั๋วเครื่องบิน และค่าเรือ  แต่ผมไม่ได้ทำเช่นนั้น ผมซื้อเรือผ่าน บริษัท Time Sharing ที่ผมเป็นสมาชิก ผมว่ามันได้ราคาดีกว่า....ปกติเรือจะมีห้องให้เลือก สามถึงสี่แบบ คือ ห้องด้านในตัวเรือ ไม่มีหน้าต่าง, ต่อมาก็เป็นห้องมีหน้าต่าง,แล้วก็เป็นห้องมีระเบียง... ผมซื้อเรือได้ราคาหัวละ 1,100 + เหรียญ สำหรับห้องมีระเบียง (Balcony)ในทริปนี้ 7 คืน 8วัน ในเรือมีอาหารให้ สี่มื้อ มีโรงละคร สองโรง มี สระว่ายน้ำ สวนน้ำเล็กๆ มี คาสิโน มีบาร์ มีห้องอาหารปกติ และถ้าใครไม่จุใจ อยากเสียเงินหน่อย ก็มีห้องอาหารหรูไว้บริการ.....แต่ถ้าซื้อ Package ครบจบจากบ้านเรา สำหรับห้องไม่มีหน้าต่าง ผมว่า น่าจะร่วมๆแสนบาท ราคานี้ไม่รวมการซื้อทัวร์สั้นๆ ขึ้นฝั่ง ปกติเรือจะวิ่งตอนกลางคืน ไปถึงเมืองตอนเช้า ผู้โดยสารก็จะซื้อ ทัวร์สั้นๆ ราคาประมาณ 50-100 เหรียญ แล้วแต่เมือง และลักษณะของทัวร์ ตอนเราซื้อทริปเรือ เราจะทราบรายละเอียด ว่าเรือจะจอดที่เมืองไหนบ้าง แต่บางวันก็ไม่จอดนะ เขาระบุว่าเป็น At Sea ทริปนี้มีจอด สามเมืองกับ หนึ่งทอดสมอให้ชมธารน้ำแข็ง ปกติ มีหลายสายการเดินเรือที่จะไปทัวร์ Alaska ส่วนใหญ่ จะออกเดินทางราวต้นเดือนพฤษภา แต่ผมติดที่ต้องมาตั้งแต่ช่วงสงกรานต์ เพราะช่วงต้นทริป ลูกเดินทางมาด้วย แล้วแยกกลับก่อนเพื่อไปทำงาน ส่วนวัยรุ่นสองคนเป็นคนว่างงานทั้งคู่....แต่ถ้ารอออกเดินทางไปกับเรือบริษัทอื่น ก็คงแกร่วรออีกหลายวัน เรือลำนี้ที่ผมเลือก เป็นลำแรกที่ออกเดินทางไป Alaska ของปีนั้น มีทั้งข้อดี ที่ไม่ต้องรอนาน ไม่มีนักท่องเที่ยวเยอะ แต่ข้อเสียก็คือ สถานที่บางแห่งยังไม่เปิดบริการเต็มที่



































วัยเก๋าเล่าเรื่องเที่ยว....ตอน..."ท่องโลกกว้าง หลังเกษียณ" ฉากที่ 9....(ชุดที่2)
ตอนเราจะขึ้นเรือ ก็คล้ายๆเราเช็คอินขึ้นเครื่อง เขาจะตรวจ พาสปอร์ต ตรวจวีซ่า ให้เรา Load กระเป๋าเดินทาง เขาจะเอาไปเก็บไว้ให้เราที่ห้องพักเราเลย ใช้เวลาร่วมๆ สองชั่วโมง....เราเช็ดอินเสร็จก็ไปดูห้องพัก กระเป๋าเดินทางมาเป็นที่เรียบร้อย กำลังตื่นเต้น เรือลำนี้มี 12 ชั้นถึงชั้นดาดฟ้า ต้องสำรวจ แล้วเก็บรูปเป็นที่ระทึก ว่ากันตั้งแต่ในห้อง จนไปยันชั้นดาดฟ้าเลย.....ตกบ่ายแก่ๆเรือก็เริ่มออกเดินทาง ก็ออกไปชมเรือแล่นออกจากอ่าว Vancouver จนลับตา แล้วค่อยมาหาโปรแกรม ไปชมโชว์ที่โรงละคร คืนนี้หลังอาหารเย็น มี คาบาเรโชว์ อาหารเย็นที่บนเรือเลิศหรูอลังการมาก เป็นอาหารที่จัดมาเป็นชุด มีอาหารเรียกน้ำย่อย (Appetizer)  ตามด้วยจานหลัก (Main Dish) แล้วของหวาน มีเมนูให้เลือก มีทั้งชุดปลา ชุดเนื้อ บางวันมีกุ้งมังกร แล้วส่วนจานหลัก ถ้ไม่พอขอเพิ่มได้ด้วย วันไหนมีเมนูกุ้งมังกร ผมต้องเบิ้ลทุกทีเลย ส่วนมื้อเช้า มื้อเที่ยง ก็เป็น บุปเฟ่ต์ ธรรมดาทั่วไป มื้อที่สี่ ไม่เคยไปกินเลย ส่วนใหญ่ไม่ไปดูโชว์ ก็นอนครับ วันที่ 30 เมษา
เรือออกจากท่า Vancouver วันที่ 1 พฤษภา ก็วิ่งอยู่กลางทะเลททั้งวัน หรือที่เขาเรียกว่า At Sea เช้าวันที่ 2 พฤษภา เรือมาจอดที่ท่าเมือง Junean แต่เช้า วันนี้เราจะไปชมเมืองนี้กัน เราไปซื้อ ทัวร์ ชมเมืองจากเคาว์เตอร์ในเรือมาเมื่อวันก่อน ใครสนใจแนะนำว่าไปซื้อแต่เนิ่นๆนะ ไม่งั้นเต็มแล้วจะอด อย่าได้คิดนาน...ที่เมืองนี้เขาพาไปชมศูนย์เลี้ยงปลาแซลมอน เขาบอกว่า มันเพาะพันธุ์ ไม่ได้ ต้องไปเอาลูกปลาในธรรมชาติมาเลี้ยง ส่วนเราก็อย่าได้ไปใส่ใจมาก กินอย่างเดียว จากนั้นก็ขึ้นรถพาตระเวนชม ได้เห็น ธารน้ำแข็ง (Glacier)อีกแล้ว เก็บภาพกันสนุกสนาน ก่อนพาเขาตัวเมือง บ้านเรือนก็เป็นยุคอเมริกันรุ่นบุกเบิกละครับ เดินชมเมืองจนได้เวลา พากลับเรือ.....

































วัยเก๋าเล่าเรื่องเที่ยว....ตอน..."ท่องโลกกว้าง หลังเกษียณ" ฉากที่ 9....(ชุดที่3)
เช้าวันที่ 3 พฤษภา เรือมาจอดเทียบท่าที่เมือง Skagway เราจะขึ้นฝั่งไปทัวร์...เมืองนี้มีรถไฟวิ่งมาถึงท่าเรือเลย น่าจะเป็นเมือท่าขนถ่ายสินค้า ตอนแรก เขาใช้ Minibus พาเราออกไปอีกเมือง ผ่านทะเลสาบ Yukon ให้ได้ชมวิวกัน....เวลามา Alaska ใครๆต้องคิดว่าจะเจอ น้ำแข็งหนาๆ ขาวโพลนไปหมด ภาพที่อยู่ในหัวผม เหมือนที่เราเห็นจากสารคดี ท่องอาร์คติก แต่ช่วงที่เรามามันคือหน้าร้อนของ Alaska เราจะเห็นหิมะบ้างส่วนใหญ่ก็เป็นตามภูเขา และที่ ที่เขาพาเราไป ทะเลสาบยังเป็นน้ำแข็งอยู่ แต่ดูเหมือนจะบางมาก เราไปถึงหมู่บ้านอีกแห่งหนึ่ง เหมือนไปสู่ยุคคาวบอยเลย บ้านเรือนเป็นหลังเล็กๆ เก่าๆ มีทะเลสาบที่ผิวน้ำเป็นหิมะ หนาเตอะ มีถนนเล็กๆสองสามเส้น มีสถานีรถไฟด้วย เราเดินถ่ายภาพกันสนุกสนาน ก่อนที่เขาจะพาเรากลับมาที่เมือง Skagway ระหว่างทางก็จอดที่จุดชมวิว อีกสองสามแห่ง....ก่อนจะมาส่งเราลงที่เมือง เราเดินชมเมืองเล็กๆนี้ ท่าเรือก็อยู่ไม่ไกลเดินไปเรื่อยๆ เห็นอะไรน่าสนใจก็เก็บรูปมาจนถึงเรือ เฮ้ยที่เชิงเขาเตี้ยๆฝั่งตรงข้ามถนนที่เรือจอด มีก้อนหินที่ผู้คนไปเขียนชื่อ หรือคำพูดสั้นๆไว้ พี่ไทยเราไม่พลาด มีจารึกภาษาไทยที่ภาคภูมิใจของบรรพบุรุษเราไว้ ด้วยว่า "สัมฤทธิ์ ที่รัก" 555 แฟนใครตามหาไปแจ้งด่วน....เดินเล่นอยู่พักใหญ่ก็ใกล้เวลาเรือออกแล้ว...เอ้าขึ้นเรือ.....





























วัยเก๋าเล่าเรื่องเที่ยว....ตอน..."ท่องโลกกว้าง หลังเกษียณ" ฉากที่ 9....(ชุดที่4)
....วันที่ 4 พฤษภา เป็นวันที่เรือวิ่ง At Sea อีกวัน จนถึงวันที่ 5 พฤษภา 2013 เรือไม่ได้เทียบท่า แต่มาจอดทอดสมอ อยู่หน้าผาน้ำแข็ง ผานี้จะเป็นผาที่ธารน้ำ(Glacier) แข็งไหลมาถึงมหาสมุทร ไอ้เจ้าธารน้ำแข็งนี้ชื่อMargerie Glacier มันไหลมา 34 กิโลเมตร จากเทือกเขา Mount Root....ช่วงที่มันมาถึงมหาสมุทร เราจะเห็นแท่งน้ำแข็งเป็นลิ่มขนาดใหญ่ยักษ์ตกลงทะเลเป็นระยะ ระยะ เสียงสนั่นหวั่นไหว หน้าผาตรงนี้ สูงเกือบๆสองเท่าของเรือเราทีเดียว อ่าวตรงนี้เขาเรียกว่า Glacier Bay ตอนแรกๆที่เรือไปถึงเขาประกาศเสียงตามสายให้คนไปชมที่ชั้น สี่หรือที่ชั้นดาดฟ้า ผมรีบหยิบกล้องแล้วชวนนางแบบไปทันที โดยไม่รีรอ พอไปถึงชั้น 4 พึ่งจะนึกออกว่า จะมาที่ดาดฟ้านี่ทำไมฟ๊ะ ก็ห้องเราเป็นห้องมีเฉลียง สามารถชมวิวจากห้องได้เลย.....เปิ่นจังนะเรา เลยไปนั่งชมวิวจากในห้อง ถ่ายรูปให้เพลินไปเลย......การถ่ายภาพถ้ามีฉากหลังเป็น หิมะ หรือ Glacier ขาวโพลนและสว่างจ้า โปรดใช้ฝีมือในการปรับตั้งค่ากล้องหน่อย และถ้าต้องมีนางแบบอยู่ด้วย แฟลชเป็นสิ่งจำเป็นอย่างที่สุด หากท่านไม่ระมัดระวัง ท่าอาจจะทำความผิดที่ นางแบบไม่ยอมให้อภัย และกรุณากันเหนียวด้วยการถ่ายด้วยไฟล์ RAW พลาดพลังไปคอมพิวเตอร์ที่บ้านยังช่วยชีวิตได้ ตอนปี 2013 ผมน่าจะเพิ่งเรียนถ่ายภาพ ถ่ายมาด้วยไฟล์ JPEG ต้องขุดกันหลายรูปกว่าจะออกมาพอดูได้.....เรือทอดสมออยู่ที่อ่าวนี้จนเย็น แล้วเรือก็ออกเดินทางต่อ.....



































วัยเก๋าเล่าเรื่องเที่ยว....ตอน..."ท่องโลกกว้าง หลังเกษียณ" ฉากที่ 9....(ชุดที่5)
....เช้าวันที่ 6 พฤษภา 2013 เรือเข้าเทียบท่าที่ Ketchigan เมืองนี้ดูจะใหญ่กว่าทุกเมืองที่เราผ่านมา ฟังว่านอกจากทัวร์แล้ว สิ่งที่ห้างพลาดคือการหาปูอลาสก้า กิน.....เมืองนี้เขาบอกว่าเขาเป็น Alaska's 1st City แสดงว่าเขาต้องอยู่ใกล้แคนาดาที่สุด ก็ท่าจะจริงนะเพราะดูป่าไม่เขียวชอุ่มเลย ทัวร์พาเราไปที่ Totem Bight State Historical Park เป็นอุทยานประวัติศาสตร์ ก็เกี่ยวกับอินเดียนแดง เสา Totem ส่วนคำว่า Bight แปลว่างับ ก็เพราะพื่นที่ตรงนี้ถ้ามองจากด้านบนลงมา จะมีอ่าวตื้นๆรูปร่างเหมือนแผ่นดินถูกงับนั่นเอง ที่นี่ก็จะเป็นป่าๆ เหมือนเคยเป็นที่ตั้งของหมู่บ้านอินเดียนแดง มีเสา Totem ปักไว้เรียงรายไปหมด มีเรือนใหญ่ๆ เป็นเหมือนห้องโถงน่าจะเป็นโรงละครที่แสดงวัฒนธรรม แต่วันที่เราไปไม่มีการแสดง หลังจากอยู่ที่นี่พักใหญ่ ทัวร์ก็พาเราตระเวนไปตามถนนต่างๆในเมือง พร้อมกับอธิบายประวัติที่มาของเมือง แล้วก็เอาเรามาส่งแถวท่าเรือ ใกล้ร้านที่กินปู เราเดินชมเมือง ที่นี่มีพลอยขึ้นชื่อ เป็นพลอยสีน้ำเงิน ใครไปสนใจก็ลองหาดูนะ ในย่านนี้มีร้านขายพลอยอยู่หลายร้าน....และแล้วที่สุดที่ต้องลองคือปูยักษ์ ที่เราเจอกันที่เมืองไทยที่ขายาวๆนั่นแหละ แต่ที่นี่มีให้ลอง สามชนิด มาเลย ของสามชนิด สองชุด ได้ลิ้มรสปูที่ถิ่นมันเลย หลังจากทานเสร็จไม่รู้จะไปไหนดี เมืองก็มีแค่นี้ เลยกลับขึ้นเรือ แดดกำลังดี ก็เก็บรูปนางแบบซะหน่อย เดี๋ยวพรุ่งนี้เราก็จะบอกลากันแล้ว.....







































วัยเก๋าเล่าเรื่องเที่ยว....ตอน..."ท่องโลกกว้าง หลังเกษียณ" ฉากที่ 9....(ชุดที่6)
....เช้าวันที่ 7 พฤษภา 2013 เรือมุ่งหน้าสู่ท่าสุดท้ายคือเมือง Seattle ของสหรัฐอเมริกา ก่อนจะบอกลา เรือ Carnival Miracle มื้อเที่ยงขอพานางแบบไปทานอาหาร ที่ห้องอาหารพิเศษ ไม่ได้ไปทานอาหารบุฟเฟ่ต์ ตาม ปกติ อาหารที่นี่ก็ไม่แพงครับ เราได้เจอน้องพนักงานเสริฟที่เป็นคนไทยอีกคนที่นี่ ที่ห้องอาหารเย็นที่เราไปทานทุกคืนก็มีคนไทยด้วยนะครับ ฟังว่าคนเอเชียที่ทำงานในเรือ มีฟิลิปปินส์ อินโด และไทย นี่แหละครับ ทานเที่ยงเสร็จไม่นานเรือก็เทียบท่า ได้เวลาบอกลา Carnival Miracle กับประสบการณ์ อีกหนึ่งที่สุด ของการท่องเที่ยวที่ประทับใจ....


















Sompong


วัยเก๋าเล่าเรื่องเที่ยว ท่องโลกกว้าง หลังเกษียณ ฉากที่10

วัยเก๋าเล่าเรื่องเที่ยว....ตอน..."ท่องโลกกว้าง หลังเกษียณ" ฉากที่ 10....(ชุดที่1)
หลังจากเราลงจากเรือ เราก็จับแท็กซี่ตรงไปที่พัก เราจะพักที่ Seattle ห้าคืน แล้วคงจะโบกมืออำลาทริปนี้ ที่พักเราก็ใช้วิธีแลกผ่าน Time Sharing มาเหมือยกัน ผมจำชื่อไม่ได้แล้ว จำได้แค่ว่ามันอยู่ใกล้ๆกับ Seattle University สามารถเดินไปถึงได้ จริงแล้วผมจองห้องสำหรับพักสองคน แต่ทางโรงแรมจัดเราเข้าพัก ห้องที่มีเตียงสองเตียงหย่ายพักได้สี่คน เลยบันเทิงเลยซิครับ....เมือง Seattle เป็นเมืองชายฝั่งตะวันตกอยู่สูงที่สุดของสหรัฐ ที่เหนือขึ้นไป ก็เป็นเมือง Vancouver นั่นเอง.... ที่พักอยู่ที่นี่ ห้าคืนหกวัน
เช้าวันที่ 8 พฤษภาคม 2013 หลังจากทานอาหารเช้าที่โรงแรม เราก็จับแท็กซี่ เข้าเมือง  ตัวเมือง Seattle เป็นเมืองชายฝั่ง ก็จะมีส่วนที่เป็นเนินสูง ลาดเอียงไปทางทะเล ผมว่าเมืองในอเมริกา ส่วนที่เป็น Downtown หรือย่านธุรกิจหลัก ก็ไม่ใหญ่มาก เดินเข้าถนนโน้นออกถนนนี้ สำรวจกันพอได้ ส่วนใหญ่ เมืองในอเมริกาเป็นเมืองเกิดใหม่ เขาจะตัดถนนเป็นบล็อกสี่เหลี่ยมๆ วันแรกก็ซอกแซกไปเรื่อยเปี่อย...เออที่ท่าน้ำมีชิงช้าสวรรค์ ประมาณเดียวกันกับ ที่สิงคโปร์นะ มีร้านรวงแถวท่าน้ำ ก็ได้เก็บภาพมาฝากกัน แต่เราไม่ได้ใช้บริการหรอกครับ...เราได้เข้าไปในตลาดสดของที่นี่ มีอาหารทะเลสดขายด้วย ผมมีโอกาสได้แวะเข้าร้าน Harley Davidson ด้วยครับ ถ้าใครไปอเมริกา แล้วนิยมพวกเสื้อแจ็คเก็ต เสื้อคอกลม ของ Harley แนะนำว่าถ้าเจอร้านลองเข้าไปดู มักจะมีเสื้อผ้าลดราคา แล้วลดกัน 50% เลย อยู่ที่ขนาดอาจจะต้องหากันหน่อย





























วัยเก๋าเล่าเรื่องเที่ยว....ตอน..."ท่องโลกกว้าง หลังเกษียณ" ฉากที่ 10....(ชุดที่2)
.....เช้าวันที่ 9 พฤษภาคม 2013 วันนี้เราใช้ Hop Bus วิ่งชมเมืองออกมาได้ไกลหน่อย ไปที่ตึกพิพิธภัณฑ์รูปร่างประหลาดๆ ชื่อ EMP Museum และใกล้ๆตึกนี้เราเจอหอคอยอีกแล้วครับท่าน และมีร้านอาหารเช่นกันชื่อ Space Needle อยู่ในย่านนี้ที่เขาเรียกว่า Seattle Center และในบริเวณนี้มี Art Museum มีมุมหนึ่ง ชื่อChihuly Garden & Glass ด้านหน้าโชว์ แก้วที่เป่าเป็นต้นไม้สีเหลืองขนาดสูงราวๆ สี่ ห้าเมตรเลย มี Pacific Science Center มีสวนเล็กๆ สนามหญ้า และปติมากรรมล้ำๆ สีแดงแปร๋น อยู่มุมหนึ่งของสนามหญ้า จากตรงนี้มี Monorail วิ่งไปยัง Downtown เราก็จัดไป ลองใช้บริการดู จนมาถึงห้าง Nordstrom ปกติห้างนี้จะอยู่ในเมืองใหญ่ ในอเมริกาและยุโรป ก็ประมาณ เซ็นทรัล บ้านเรานั่นแหละครับ แวะเข้าไปเสียหน่อย เดี๋ยวห้างมันจะเสียใจ ออกมาเจอห้าง Macy ก็ต้องแวะ เพื่อไม่ให้ลักหลั่นกัน
เช้าวันที่ 10 พฤษภาคม 2013 วันนี้หลังอาหารเช้าเราโต๋แต๋ แถวใกล้ๆโรงแรมจนสายๆ เป้าหมายมื้อเที่ยงคือ ไปทานอาหารที่ Space Needle ไอ้ภัตตาคารที่อยู่บนหอสูง ที่ผมเคยเล่าว่าถ้าไปเมืองไหนที่มีก็อย่าพลาด รู้สึกว่าเราจะจองมื้อเย็นไม่ได้ เลยต้องไปทานมื้อเที่ยง วันนี้มีหมอกลงหนา อากาศไม่ค่อยดี ได้เห็นวิวแค่บางจังหวะเท่านั้น ช่วงบ่ายเราไปนั่งเจ้ารถเป็ด คือเป็นรถนำเที่ยวแล้วพาลงน้ำ วิ่งในน้ำเหมือนเรือ วิ่งชมชีวิว ชาวแพที่นี่ มีบ้านลอยน้ำ ก็ตื่นตาตื่นใจดี ได้ชมวิวสองฝั่งแม่น้ำ































ทริปนี้ เหลืออีกชุดเดียว ก็จะปิดทริปแล้วนะครับ ทริปหน้าจะพาไปเที่ยวเมืองระบำหน้าท้อง ประเทศสองทวีป "ตุรกี" หลายคน เคยได้ยิน เรื่องอาณาจักร เมโสโปเตเมีย แม่น้ำไทกริส แม่น้ำยูเครตีส เมืองคอนสแตนติโนเปิ้ล โรมัน กรีก อียิปต์ เปอร์เซีย สงครามครูเสด.....และเจงกีสข่านขอบอกว่ามันมาเกี่ยวกับตุรกีได้อย่างไร.....ท่านใดที่สนใจรอติดตามนะครับ

































วัยเก๋าเล่าเรื่องเที่ยว....ตอน..."ท่องโลกกว้าง หลังเกษียณ" ฉากที่ 10....(ชุดที่3)
....วันที่ 11 พฤษภาคม 2013 วันนี้เราต้องบินจาก Seattle เพื่อไปต่อเครื่องกลับกรุงเทพฯ ที่สนามบิน LA ตามเวลา เครื่องจะออกตอนบ่ายสองโมง กระเป๋าก็เก็บเรียบร้อยตั้งแต่เมื่อคืนก่อน กำลังเปิด iPad ดูโน่นนี่นั่น ก็เลยไปเปิด Email ดู ตายละหวา สายการบินมันดันเลื่อนไฟลต์ เร็วขึ้นมาบินตอน สิบเอ็ดโมงดีนะที่ตอนนั้นยังพอมีเวลา เรารีบเช็คเอ้าท์ แล้วจับแท็กซี่ตรงไปสนามบิน ซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก ราวครึ่งชั่วโมงก็ถึง โอยโล่งอก เช็กอินเสร็จ รอได้เวลาก็บิน ไปถึง LA ก็เย็นมาก ไฟลต์กลับไทยเราออกตอนหัวค่ำ ต้องเหง็ก อยู่สนามบินหลายชั่วโมง แล้วก็เดินทางกลับถึงเมืองไทยโดยสวัสดิภาพ ทริปนี้ใช้เวลาทั้งหมดไปร่วมเดือนหนึ่งพอดี นานที่สุดที่เคย


จบทริปแล้วนะครับ หนึ่งเดือนเต็ม ว่ากันซะคุ้มค่าเครื่องบิน ทริปหน้า จะพาไปเที่ยวตุรกี ผมจะเขียนไปเรื่อยๆ ถ้ายังติดเรื่องโควิด เพราะต้องหางานอดิเรกทำ แก้เบื่อ แล้วก็เก็บเรื่องเล่า ไว้อ่าน เมื่อยามเดินทางไม่ไหวแล้ว.....และทุกทริปหลังใกล้จบ ก็ขอถามสมาชิกในห้อง ถ้าห้องไหนไม่นิยม ผมจะได้ไม่แชร์เข้าไปรบกวน เช่น ทริปตุรกีที่จะแชร์ก็จะลดจากแชร์ให้ 12 ห้อง เหลือ 7 ห้องนะคร๊าบ