พฤศจิกายน 22, 2024, 02:39:10 ก่อนเที่ยง

ข่าว:

SMF - Just Installed!


ท่องตุรกี 2019 by สมพงษ์

เริ่มโดย Sompong, พฤศจิกายน 01, 2019, 09:36:18 ก่อนเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

Sompong


ท่องตุรกี 2019 ตอนที่ 1......ตุรกี ประเทศสองทวีป ดินแดนหลากหลาย อารยธรรม.....ผมเคยได้ยินเรื่องการทิองเที่ยวตุรกี ว่าเป็นดินแดนยอดนิยมของนักท่องเที่ยวประเทศหนึ่ง เมื่อก่อนตอนที่ประเทศนี้ยังมั่งคั่งดูเหมือนการไปท่องเที่ยวที่นี่ มันจะมีราคาค่อนข้างสูงมากมาย ว่ากันถึง แปดหมื่น เก้าหมื่น กันเลยทีเดียว มาวันนี้ค่าเงินลีรา ของตุรกี ตกลงมาถึง 60-70% ว่าไปแม้จะถามไกด์ท้องถิ่นว่าทำไม? ผมก้ยังไม่ได้คำตอบที่สมเหตุสมผลอยู่ดี เอาไว้เล่าให้ฟังทีหลังนะครับ ด้วยเพราะค่าเงินเขาอ่อนลง ราคาทัวร์วันนี้จึงถูกลงมาก อยู่ตั้งแต่ประมาณ สองหมื่นห้า ถึงสี่หมื่น ราคามันขึ้นกับช่วงเวลา Peak หรือไม่ Peak บินตรงหรือไม่ แล้ว การเดินทางในประเทศมีบินกี่ครั้ง เราเลือกซื้อทัวร์ผ่านบริษัทแตงโมทัวร์ เขาบอกว่าเป็นบรำทในเครือของ Quality Express ที่ถือว่าชื่อชั้นเจ๋งที่สุดในบ้านเราในขณะนี้......แต่ราคาทัวร์ยังไม่รวม Highlight ที่ให้ลูกทัวร์เลือก แน่นอนต้องเสียตังค์เพิ่ม ตามความอยากละครับ......ก่อนอื่นเรามารู้จักประเทศนี้เป็นการส่วนตัวหน่อยดีไหม ประเทศตุรกีเป็นประเทศที่ทางตะวันตกเฉียงเหนือ เป็นส่วนที่อยู่ในทวีปยุโรป ซึ่งถูกแบ่งด้วยทะเล Marmara และช่องแคบ Bosporus เจ้าช่องแคบ Bosporus มันเป็นช่องแคบที่เชื่อมต่อระหว่าง ทะเลดำซึ่งอยู่ด้านเหนือ กับทะเล Marmara และตรงส่วนที่มันต่อกันนี่เองมีเมืองสำคัญที่เราคุ้นชื่อมาก คือ อิสตันบูลตั้งอยู่..... ถัดใต้ลงมาจะเป็นตุรกีที่ตั้งอยู่ในทวีปเอเซีย เนื่องจากเป็นส่วนต่อเป็นแถบยาวๆจากทวีปเอเซีย จากตะวันออกไปตะวันตก ส่วนนี้เลยได้ชื่อว่า Asia Minor

ทางเหนือของประเทศตุรกีติดกับ กรีก บัลกาเรีย ทะเลดำ และประเทศจอร์เจีย ตะวันออกติดกับอิหร่าน ใต้ติดกับอิรัค ซีเรีย และทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ส่วนทางตะวันตกเป็นทะเลอิเจี้ยน เป็นไงครับชื่อประเทศคุ้นเคยกันบ้างแล้วใช่ไหม ยังมีประเทศดังๆจากอารยธรรมโบราณ เช่น โรม(อิตาลี่) อียิป และเยรูซาเร็ม ล้วนมาเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ของตุรกี.....ประเทศตุรกีมีประวัติยาวเป็นหางว่าว ตั้งแต่ก่อนสมัยยุคโรมัน มายุคกรีก ยุคอียิป จนมาถึงยุคเติร์กในปัจจุบัน จริงๆแล้วชาวเตอร์ก คือลูกหลานเจงกิสข่าน หรือชนเผ่านักรบมองโกล ที่แผ่อิทธิพลขยายอาณาจักรมาถึงพื้นที่แห่งนี้.....พื้นที่นี้ได้ถูกขนานนามว่า คาบสมุทรอานาโตเลีย.....นั่นเอง!!!!!


Sompong


ท่องตุรกี 2019 ตอนที่2.....ก้าวแรกของการเดินทาง....ทัวร์กลุ่มนี้คับคั่งมากมีถึง 34 คน ก็ถือว่ามีเหลืออีกแค่ที่เดียวก็เต็มคันรถละครับ เราออกเดินทางจากสุวรรณภูมิ ด้วยสายการบิน Turkish Airlines ผมคงไม่ต้องบอกว่าเป็นสายการบินประจำชาติของประเทศไหนนะครับ สายการบินนี้จึงได้พาเราบินตรงสู่นครอิสตันบูล โดยปกติถ้าพูดถึงสายการบินของประเทศแถบตะวันออกกลาง เราก็จะคุ้นเคยกับ Qatar Airways หรือ Emirates Airline สายการบินเหล่านี้ ก็จะบินไปรวมกันที่เมืองหนึ่งของประเทศเขา แล้วมาเปลี่ยนลำและรวมผู้โดยสารที่มีปลายทางที่เดียวกันไปด้วยกัน ที่เราเรียกว่าเมืองที่เป็น Hub ผมคิดเอาว่า Hub  ของ Turkish Airlines ก็คือนครอิสตันบูล นี่เอง......เวลาที่ตุรกีจะช้ากว่าไทย สี่ชั่วโมง มันแปลว่าอะไร ใครไม่เคยสับสนกับเวลาช้ากว่าหรือเร็วกว่า น่าจะเป็นพวกสมองซุกซนนะครับ เพราะผมงง และหลงทุกที เอาว่าโลกกลม แต่ก็ต้องเริ่มต้นนับวันเวลาแรกที่ประเทศไหนสักประเทศ.....ถูกต้องแล้วครับประเทศแห่งแดนอาทิตย์อุทัยก็คือญี่ปุ่นนั่นเอง ไทยเราอยู่ทางตะวันตกของญี่ปุ่น เวลาจะช้ากว่า เช่นเดียวกันตุรกีอยู่ทางตะวันตกขอไทย ก็ช้ากว่าไทย แปลว่าเมื่อเราเช้า เขายังกลางดึกอยู่ คือนับลบไป สี่ชั่วโมง เมื่อเราอยู่เมืองไทยแล้วคำนวนหาเวลาบ้านเขา.....แล้วถ้าเราอยู่บ้านเขา ต้องการรู้เวลาเมืองไทย ต้องบวกอีกสี่ชั่วโมง งงไหม ถ้า งง ให้ทำข้อต่อไป คือให้กลับไปอ่านตั้งแต่ต้นใหม่ เราออกเดินทางจากสุวรรณภูมิ เวลา 09:25 (เวลาประเทศไทย) บินไปถึงนครอิสตันบูลเวลา 15:50 (เวลาตุรกี) ถามว่าตอนนั้นเวลาเมืองไทยเป็นเท่าไหร่ ตอบไม่ได้ให้เลี้ยงข้าว ถ้าตอบได้ให้เลี้ยงขนม....55555 เวลาเมืองไทยคือ 19:50.....เอ๊ะสรุปว่าใช้เวลาบินไปกี่ชั่วโมงครับ???? คือ สิบชั่วโมง ยี่สิบห้านาที เอาว่าตอนบินจริงๆเราถึงเร็วกว่าเวลาของตารางบินเล็กน้อย.....ผมเคยคิดว่า สนามบินสุวรรณภูมิ เป็นสนามบินที่ Runway อยู่ไกลและยาวมว๊าก เครื่องใช้เวลาแท็กซี่จนแทบอั้นฉี่ไม่ไหว อุ๊ต๊ะ สนามบินอิสตันบูล มีเส้นทางแท็กซี่น่าจะไกลกว่าสุวรรณภูมิอีกเคร่าๆน่าจะ 150-160% ของสุวรรณภูมิ ไชโยไม่ต้องบ่นอีกต่อไปว่าเราแท็กซี่ไกลที่สุดในโลก เราลงเครื่องที่อาคารโดยสารระหว่างประเทศ แล้วต้องไปต่อเครื่องที่อาคารโดยสารภายในประเทศ ส่วนสัมภาระเรา Checked Through ผมเคยหลงระเริงกับการ Checked Through เมื่อต่อเครื่องนี่แหละ ข้าพเจ้าขอเตือนท่านว่าให้ดูตารางต่อเครื่องว่าท่านต้องมีเวลาไม่น้อยกว่า สามชั่วโมง มิฉะนั้นท่านอาจจะไปถึงที่หมาย แต่กระเป๋าอาจจะนอนค้างอ้างแรมอยู่สนามบินนะออเจ้า.....ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ โดนมาแล้ว และให้ระวังสายการบินเจ้า Delay ทั้งหลายที่มีชื่อชั้น อยู่เหนือ Low Cost เล็กน้อย มักจะจอดเครื่องเล่นๆอยู่ที่สนามบินแม้เลยเวลาเดินทางไปเป็นชั่วโมงแล้วก็ตาม อ้าวลืมไปเราไปกับทัวร์นี่หว่า..... ที่อาคารภายในประเทศของสนามบินอิสตันบูล ผมได้ข้อมูลจากเพื่อนว่า มีการแสดงภาพถ่าย อยู่แถวๆนั้น เลยเก็บรูปมาฝาก.....ผมถ่ายภาพ จากภาพถ่ายของตากล้องท่านอื่นแล้วปรับให้ตรง อย่าได้หลงกลว่าเป็นฝีมือผม ถ้าจะถ่ายให้ได้แบบนี้สักยี่สิบ สามสิบภาพ ผมจะต้องตระเวณตุรกี สักสองสามเดือน......5555 ต้องถามสาวจีน ที่อยู่ข้างๆ ที่ชื่อ เจ้าอย่าหวัง....ซะก่อน.ว่าจะปล่อยไปอยู่ตุรกีไหม......คุยเพลินได้เวลาต่อเครื่งไปเมือง Izmir เครื่องออกเวลา 18:00 ถึงปลายทางเวลา 19:20  รับกระเป๋าเสร็จก็ขึ้นบัส มุ่งสู่โรงแรม ทานอาหารเย็นเสร็จก็อาบน้ำอาบท่า แล้วก็นอนแผ่หมดสภาพ......การบินทั้งสองช่วงของสายการบินนี้ นอกจากไวน์แล้วที่เหลือผมคิดถึงสายการบินไทยมว๊าก ความนุ่มนวลของโฮสเต็ท และรสชาดอาหารต่างกันเยอะ เลยภาวนาขออย่าให้สายการบินไทยเจ้งเลย พ่อเจ้าประคูณณณณณณ

วันนี้เป็นวันที่ 11 กันยายน แล้ว เมื่อคืนเรามาถึงโรงแรมก็มืดค่ำแล้ว เลยไม่รู้ว่าโรงแรมเราคือ Wyndham Izmir Ozdilek ตั้งอยู่ริมฝั่งทะเลอีเจี้ยน.... เมือง Izmir นั้นเป็นเมืองใหญ่ประมาณลำดับสาม หรือสี่ของตุรกี อยู่ริมฝั่งช่วงกลางๆของขอบเขตแดนทางตะวันตก......เช้านี้พระอาทิตย์ขึ้นสวยงามมาก ฝากรูปมาให้ชมนะครับ.....เช้านี้หลังทานอาหารเช้าที่โรงแรมแล้วเราต้องเดินทางเลียบชายแดนฝั่งตะวันตกขึ้นไปเมือง เพอร์กานัม (Pergamon) พยายามอ่านให้เสียงภาษาไทยอย่างที่ผมบอก อย่าให้เป็น เพอร์กาม่อนนะ เดี๋ยวคิดว่าอยู่ญี่ปุ่น เราต้องนั่งรถบัสไปสามชั่วโมง เพื่อไปชม วิหารอะโครโปลิส..... เมือง Pergamon อ่านยากไหม แล้วถ้าไม่พอใจ เขาเขียนอีกแบบว่า Bergama จริงๆแล้วคำว่า Acropolis มันเป็นคำผสม จาก Acro แปลว่าสูง Polis แปลว่าเมือง รวมกันคือเมืองที่อยู่บนที่สูง ดังนั้นคำว่า Acropolis ก็เรียกเมืองที่อยู่บนที่สูง ซึ่งจริงๆแล้วไม่ได้มีแค่ที่นี่ มันมีอีกหลายแห่ง เขาว่าที่เจ๋งสุดอยู่ในกรุง Athens ที่นี่ถ้าจะเรียกให้ถูกต้องเรียกว่า Bergama's Acropolis......คงพอนึกออกว่าสมัยก่อนมันมีการทำศึกสงคราม เขาถึงต้องเลือกสร้างเมืองบนชัยภูมิที่มีการโจมตียาก เมืองนี้ว่าสร้างขึ้นในสมัยกรีกโน่น ในเมืองมีพระราชวัง มีหอสมุด มีบ่อเก็บน้ำ มีโรงละคร และปรากฏว่าหอสมุด ถูกนักโบราณคดีชาวเยอรมันยกเป็นชิ้นส่วนไปโชว์อยู่ที่โน่น เรียบร้อยโรงเรียนเยอรมันไป และหอสมุดที่นี่ว่ากันว่า พระนางคลีโอพัตรา ได้นำเอาตำหรับตำราขนกลับไปอียิป แต่ท้ายสุดเมื่อนางแพ้การศึก เมืองถูกเผา หนังตำราต่างๆก็ถูกเผาไปด้วย ส่วนเมืองนี้ปัจจุบันที่เหลือก็ทรุกโทรม เป็นทราก อาจเพราะแผ่นดินไหวด้วย อย่างที่บอกว่าที่นี่ตั้งอยู่บนที่สูง เราจะขึ้นไปต้องใช้กระเช้า.....ใครไปเที่ยวหลายๆที่ที่มีกระเช้าจะ งง กับการเรียกมันเหมือนผม ที่นี่เรียกกระเช้าว่า Cable Car ถ้าคุณไป ญี่ปุ่น หรือ นิวซีแลนด์ Cable Car เขาใช้เรียก ตู้รถรางที่ลากขึ้นทางเอียงๆ ส่วนกระเช้าเขาเรียก Rope Way บางประเทศ เช่นสวิส หนักเข้าไปอีก เรียก Gondola.....เอาสักชื่อก็แล้วกันนะ.......ว่าไปเมืองนี้คงกระพันแทบจะว่า ไม่มีใครตีได้จนยั่งยืนถึงสมัย Eumenes II เป็นชาวกรีก รบกันจนเบื่อเลยทำสนธิสัญญาสงบศึก นับเป็นสนธิสัญญาสงบศึกฉบับแรกของโลกก็ว่าได้ ท้ายสุดเมืองนี้ก็ตกมาอยู่ภายใต้อาณาจักรโรมัน ก่อนที่ล่มสลายไปในที่สุด ตรงนี้ที่เราไปชมจะเป็นเมืองหลวงเก่า ของอาณาจักร Pergamon มีเมือง Pergamon ชื่อเดียวกันเป็นเมืองหลวง ประมาณราว 180-200 ปีก่อนคริสตกาล เอาว่าพอสังเขปนะ ยาวกว่านี้อาจจะมั่ว ไปเปลี่ยนประวัติศาสตร์เขาได้

Sompong


ท่องตุรกี 2019 ตอนที่3....มหัศจรรย์นิมิต และดินแดนแห่ง Gladiators.....บ่ายวันที่ 11 หลังทานอาหารเที่ยงแล้ว เรามุ่งหน้าสู่ บ้านของพระแม่ มารี ชื่อเป็นทางการคือ House of Virgin Mary ในช่วงยุคโรมัน ได้มีคำทำนายว่าจะมีเด็ก ที่จะมาสร้างปัญหาใหญ่หลวง และเป็นภัยต่อจักรวรรดิโรมัน ดังนั้นซีซ่าสมัยนั้นจึงสั่งให้จับเด็กมาฆ่าทิ้ง ซึ่งพระแม่มารีได้ให้กำเหนิด พระเยซู และพระองค์ทรงเติบโตมาในช่วงนั้นพอดี ก็เกรงว่าสักวันอาจจะถูกทหารโรมันมาจับตัวพระเยซูไปฆ่าเฉกเช่นเด็กคนอื่นๆ Saint John เลยพาพระนางหลบหนีขึ้นไปบนเขา ไปอยู่ที่บ้านที่ก่อขึ้นด้วยอิฐ และหิน เป็นบ้านหลังเล็กๆหลังหนึ่ง จวบจนสิ้นพระแม่มารีสิ้นชนม์ชีพ แล้วเขารู้ได้อย่างไรว่าที่นี่เป็นบ้านที่พระแม่มารีมาหลบซ่อนตัวอยู่ ถ้าใครเคยศึกษาเรื่องศาสนาคริตส์ จะทราบว่าพระแม่มารีได้ออกเดินทางจากเมืองเยรูซาเร็ม ซึ่งห่างจากที่ที่พบบ้านนี้พอสมควรเลยทีเดียว แม้แผนที่ที่ผมให้ดูในตอนที่1 ยังมองไม่เห็นเมืองเยรูซาเร็มเลย แสดงว่าคนสมัยก่อนช่างอดทนจริงๆถึงเดินทางมาไกลขนาดนี้.....กว่าบ้านหลังนี้จะถูกค้นพบ เวลาก็ล่วงเลยมาพันกว่าปีแล้ว แล้วเขาพบได้อย่างไร??? เหตุเกิดจากนิมิตของแม่ชี คนหนึ่งที่อาศัยอยู่ในเยอรมัน แม่ชีคนนี้ไม่เคยไปไหนเลย ไม่เคยออกนอกประเทศ วันหนึ่งเธอเกิดเห็น นิมิต บ้านของพระแม่มารี และอธิบายได้ชัดเจนถึงลักษณะ และพื้นที่ตั้ง เมือมีการออกสำรวจ ก็มาพบบ้านตามนิมิตนั้น ส่วนถ้าใครข้องใจให้ไปถามแม่ชีคนนี้นะ เธอชื่อ Anne Catherine Emmerich ซี่งเธอมีชีวิตอยู่ในช่วงปี ค.ศ 1774-1824  ถ้าจะไปถามไม่ต้องมาชวนผมนะ....5555
เราออกจากบ้านพระแม่มารี ก็เล่นเอาบ่ายคล้อยแล้ว เราจะเดินทางไปชมเมืองเก่าแก่ยุคกรีกที่ชื่อว่าเอเฟซุส Ephesus เมืองนี้สร้างอยู่บนเขาแล้วค่อยมีทางเดินลาดลงมา ว่ากันว่าสมัยนั้นลาดไปจนถึงชายฝั่งทะเล Coast of Ionia แต่ตอนที่เราไปชม ผมมองไม่เห็นทะเลนะ จริงๆแล้วทางเข้าเมืองมันอยู่จุดที่ว่าใกล้ทะเล แต่คุณเจี๊ยบ ไกด์ของเราคิดถูกที่พาเราไปเข้าเมืองที่จุดสูงสุดบนเขาแล้วค่อยๆเดินกันลงมา วัยรุ่นเช่นเราต้องเข้าหลังบ้าน ดีที่สุด กรุณาอย่าได้คิดลึก แค่มีแรงลากสังขารกันลงมาก็เมื่อย ไปหมดทั้งตัวแล้ว เมืองนี้เป็นเมืองโบราณของกรีก ต่อมาตกอยู่ภายใต้การปกครองของจักรวรรดิโรมัน เมืองนี้มีอะไรให้ดูเยอะ เราลองจินตนาการว่าเมืองสมัยก่อนก็จะมีกำแพงเมือง แล้วบ้านเรือน โรงมหรสพ วิหาร หอสมุด ห้องอาบน้ำ อัฒจรรย์การแสดงละคร หรือ แสดงการต่อสู้ของเหล่า Gladiator ผู้กล้าก็อยู่ในเมืองนี้เหละ เมืองนี้โด่งดังเพราะ วิหาร อาร์ทีมิส Temple of Artemis ซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ยุคโบราณ ภาษาปะกิดสักหน่อยนะ One of the seven Wonders of the Ancient World ....และที่สำคัญยังมีหอสมุดของ เซลซุส Library of Celsus....พวกผู้ชายสมัยนั้นเขาชอบบอกทางบ้านว่าเขาไปหอสมุดกัน .แล้วทำไมเขาชอบไปหอสมุด เพราะหอนางโลม มันอยู่ตรงข้ามหอสมุดนี่แหละ แล้วทำไมเมืองนี้ ถึงได้ชื่อว่า Ephesus ซึ่งเป็นชื่อลูกของเทพเจ้า เพราะเขาว่ากันว่า วิหาร อาร์ทีมิส ได้ถูกสร้างโดย Ephesus ซึ่งเป็นบุตรชายของเทพแห่งแม่น้ำที่ชื่อว่า Caystrus และชื่อของวิหารนี้มาจากพระนามของ เทพี Artemis ซึ่งคือ Lady of Ephesus แล้วนางเป็นเทพีแห่งความอุดมสมบูรณ์ เพราะมีเต้านม เยอะมาก ชาวเมืองนี้เขาจะบวงสรวงบูชา เทพี อาร์ทีมิส เพื่อความอุดมสมบูรณ์ ของพืชผล ส่วนจะดูว่าอะไรเป็นอะไร ก็ไปชมรูปประกอบเอานะ หรืออยากอ่านเรื่องยาวกว่านี้ก็ไปคุยกับอากู๋ได้.....แล้วอย่าลืมไปบอกนายกว่า อากู๋กับคนไทยเขาเป็นญาติสนิทกัน ท่านจะได้ไม่มาว่าเราได้ว่าไม่เคยคุยกับอากู๋

Sompong


ท่องตุรกี 2019 ตอนที่4....ชื่นชมความงามของสวนน้ำของครีโอพัตรา....เช้าวันที่ 12 กันยายน เราออกเดินทางจากโรงแรม Asayra Thermal หลังจากทานอาหารเช้าเรียบร้อย ที่แห่งแรกที่จะไปคือโรงงานตัดเย็บ แจ็คเก็ตหนัง ก่อนจะหลวมตัวกันมีการพาเข้าห้อง เดินแฟชั่นโชว์ ทำให้เคลิบเคลิ้มกันก่อน แถมชุดฟินาเล่ เป็นการเดินของลูกทัวร์เรานี่แหละ  ผมเคยทราบมาว่าสะนนราคาเสื้อที่นี่แพงหูฉี่ ประมาณ 650 เหรียญอเมริกัน กันเลย ผมเลยคิดว่า คนที่จะซื้อต้องกลุ่มคนกระเป๋าหนักๆ คงไม่ใช่พวกซัมเหมาเช่นเรา ก็เลยได้แต่ถ่ายรูปเป็นที่ระลึก เดินชมกันเพลินๆก็น่าจะพอ.....และแล้วทันใดนั้น งานเข้า เพราะภรรยาผม ไปลองแจ็คเก็ตสีดำเข้าเธอเริ่มอินเลิฟ จนดูแล้ว คงสุดปัญญาที่จะทัดทานไหว ขนาดสัมทับว่าให้จ่ายเองนะ ผมไม่สปอนเซอร์ให้ เธอก็หานำพาไม่ แม้ตอนแรกทางร้านจะบอกว่าลดราคาจากป้ายที่ขายส่งให้อีก 30%  จากเก้าร้อยกว่าเหรียญนี่นะ เธอยืนยันหนักแน่น.....ผมเลยไปต่อรองกับผู้จัดการ ดูแกจะใจดี ลดเหลือ 50% ตกลงใจดีจริงๆ หรือ เป็นไปตามแผนก็ไม่รู้ จากนั้นเราก็มีแก้งค์ เสื้อหนังประจำกลุ่ม เราออกจากร้านเสื้อหนัง มุ่งสู่เมืองปามุคคาเล  Pamukkale-Hierapolis เมืองนี้ต้องเดินทางจากฝั่งตะวันตกเข้าไป กลางดินแดนตุรกี แต่ก็ยังเป็นเมืองที่อยู่ในแถบตะวันตกของประเทศนี้ อย่าถามเรื่องอาหารเลยนะครับเพราะ ผมจำไม่ค่อยได้ว่าไปทานเที่ยงที่ไหน ส่วน มื้อเช้ากับ มื้อเย็นก็ทานที่โรงแรมนั่นแหละ อีกอย่างเรื่องอาหารที่ไม่อยากจำ เพราะ รสชาด ประมาณว่าถ้าให้สุนัขไทยทาน มันคงมองหน้าแล้วหันมาค้อน ปามุคคาเล่ และเฮียราโพลิส เป็นเมื่องมรดกโลกอีกเมือง สถานที่นี้มีเหล่งที่เป็น ไฮไลท์ อยู่สามที่คือ  โรงละครกลางแจ้ง ที่ยังคงความสมบูรณ์ อยุ่  โรงอาบน้ำโรมัน หรือสระที่ยังให้บริการจนถึงปัจจุบัน และ ปราสาทปุยฝ้าย สองส่วนแรก เป็นส่วนของเมืองโบราณ เมืองนี้ชื่อเฮียราโพลิส Hierapolis ส่วนปราสาทปุยฝ้าย เป็นส่วนที่เกิดจากสระหินปูนที่เกิดจากน้ำพุร้อนที่มี สินแร่ แคลเซียมไบคาร์บอนเน็ต ในภาษาตุรกี  Pamuk แปลว่า ฝ้าย ส่วน Kale แปลว่าปราสาท น้ำที่มีสินแร่เหล่านี้จะไหลลดหลั่นทำให้เกิดสระเล็กสระน้อยสีขาวโพลน จากยอดเขาลงสู่เชิงเขา สระน้ำเหล่านี้ มีน้ำสีฟ้าตัดกับสระสีขาวสวยงาม ที่น่าเสียดายคือ มันเกิดความเสียหายจากการท่มีคนไปชม และเดินไปในพื้นที่จนทำให้น้ำเสียคุณภาพไป ทำให้สระมีคราบสีดำมาเกาะ เขาเลยต้องกันน้ำให้ใหลเข้าสระ เราเลยเห็นแค่สระแห้งๆเป็นส่วนใหญ่ ว่ากันว่า พระนางครีโอพัตราทรงโปรดปรานที่จะมาแช่น้ำแร่ที่ปราสาทปุยฝ้ายนี้มาก จนมีสระที่พระนางโปรด ตกมาจนถึงปัจจุบัน คุณสมบัติอีกอย่างของบ่อน้ำแร่คือมมีความเชื่อกันว่า สามรถรักษาโรคต่างๆได้ คงมีผู้คนที่หายจากโรคแหละแต่มีผู้คนอีกไม่น้อย ที่ตาย จนส่วนท้ายเมือง มีสุสานเป็นโลงหินวางเรียงรายให้เราได้เห็นกันถึงทุกวันนี้ เย็นวันที่ 12 เราเข้าพักที่ โรงแรม Dedeman Dennizli ซึ่งอยู่ห่างตัวเมืองออกไป

Sompong


ท่องตุรกี 2019 ตอนที่5....ตำนานการกำเนิดศาสนาอิสลาม และวันที่ยาวนาน....วันนี้เป็นวันที่ 13 กันยายน พวกเราได้รับข่าวตั้งแต่เมื่อวาน อยู่ สองเรื่องที่กระตุกต่อมเศร้าคือ สภาพอากาศไม่เป็นใจกับการขึ้นบอลลูน เห็นว่า ขึ้นกันไม่ได้มาหลายวันแล้ว แล้วคุณเจี๊ยบก็บอกว่าท่าทางเราจะต้องทานแห้วเสียแล้วทริปนี้ ผมอุตส่าห์แอบดีใจนะ.....ฮืมมม คนละ 230 เหรียญ สองคนก็ 460 เหรียญ เก็บไปทำอย่างอื่นได้ตั้งเยอะ เอาแค่ Jeep Safari ก็พอ ที่แรกๆคนจีนข้างกายผม บอกว่าเขาคงไม่ขึ้นบอลลูน แต่พอได้คุยกับน้องสาวเขา ได้ข้อมูลมาว่ามันคือ Highlight เลยนะเจ้ เท่านั้นแหละความกลัวก็หายเป็นปลิดทิ้ง.....อีกเรื่องคือวันนี้มันจะเป็นมหากาพย์กันเลย เพราะต้องเดินทางตั้ง 12 ชั่วโมง เราออกจากโรงแรมเช้าหน่อย เดินทางนั่งรถไปถึงเมือง คอนย่า Konya ก็เล่นเอาเที่ยง ทัวร์พาเราไปทานเคบั๊บไก่ ที่ร้านดังแห่งหนึ่ง เห็นว่าร้านนี้เด็ดมาก คนดังทั้งหลายมาเมืองงนี้ต้องแวะมาทานที่นี่ ถ้าไม่มาถือว่าผิดกันเลยเชียว ทานอาหารเสร็จเราก็ออกเดินไปชมพิพิธภัณฑ์ เมฟลานา Mavlana ชื่อพิพิธภัณฑ์นี้คือชื่อของนักบวชมุสลิม ที่มีความสามารถทางด้านการแต่งบทกวี ชื่อเต็มๆของแกคือ Mevlana Celaddiin-I Rumi แกเป็นคนยุคศตวรรษที่ 13 ด้วยที่แกเป็นกวีชาวมุสลิม ทำให้แกช่วยทำให้ศาสนาอิสลามได้เผยแพร่ไปอย่างกว้างขวางในพื้นที่แถบนี้ และเป็นการที่ผู้คนแถบนี้เปลี่ยนศาสนาจากคริสต์ มานับถืออิสลามกันเลยทีเดียว เมื่อแกเสียชีวิตลงเขาก็เอาศพมาฝังไว้ที่นี่ และเปลี่ยนไปเป็นพิพิธภัณฑ์ในที่สุด.....เราออกเดินทางต่อไปยังที่พักกองคาราวาน ของอดีตสุลต่านฮานี Sultan Han Caravanserai เราคงคุ้นๆกับเส้นทางสายไหม ก็นั่นเลย คือเส้นทางที่วิ่งมาจากจีน ผ่านอินเดียเข้าเปอร์เซีย ตุรกีคือดินแดนเปอร์เซียนั่นเอง และผู้คนที่นี่คือชนชาวเติร์ก คือลูกหลานชาวมองโกล ที่แผ่อิทธิพลมาถึงแถบนี้ ต่อมามีการเพิ่มสายเลือดยุโรปเข้าไป เลยทำให้ชาวเปอร์เซีย ขาวสวยไปทางยุโรปด้วย กองคาราวานต้องมีจุดพักเป็นระยะ พักตรงไหนก็จะมีการค้าขายแลกเปลี่ยนสินค้ากันนั่นเอง เราออกจากบริเวณ Caravanserai ก็บ่ายแก่ๆเข้าไปแล้ว เดินทางต่อสู่เมืองคัปปาโดเกีย Cappadocia เห็นบางครั้งเขาเขียนเป็นภาษาถิ่นว่าKappadokya ก็อ่านให้เป็น คัปปาโดเกียก็แล้วกันนะ คุณเจี๊ยบย้ำบอกเราหลายครั้งว่าชื่อเมืองนี้ สื่อถึง The city of beautiful horses ตอนมาถึงก็มืดแล้วไม่เห็นหรอกม้านะ เห็นแต่พระจันทร์เต็มดวงดูสวยงาม ก่อนที่เราจะเข้าพักที่โรงแรม Crytal Kaymakli Hotel.....พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้ามืด ก็ดูว่าหมู่หรือจ่าว่าบอลลูนจะขึ้นได้ไหม

Sompong


ท่องตุรกี 2019 ตอนที่ 6.......บอลลูน.....ยังคงต้องลุ้น...พลาดไปต้องเสียดายแย่เลย.....เช้าวันที่ 14 กันยายน คุณเจี๊ยบ ไกด์เรา นัดเรามาเจอกันที่ ล๊อบบี้โรงแรมตอนตีห้า โดยที่เรายังไม่แน่ใจว่าวันนี้อากาศจะเป็นใจไหม รอกันไปได้สักพัก คนขับรถตู้ก็มารับพวกเราไปยังจุดปล่อยบอลลูน และเราก็ยังไม่มั่นใจว่าวันนี้จะบินบอลลูนได้หรือไม่....ต้องรอลุ้นกันดู เราไปถึงจุดปล่อยบอลลูน ที่นี่มีบอลลูนถึง 170 ลูก เขาไม่ได้เอาบอลลูนมาเตรียมใกล้ๆกัน เขาวางกันห่างๆ ในดงรัศมีประมาณ แปดร้อยเมตร ถึง หนึ่ง กิโลเมตร เชียวแหละ เราไปถึงท้องฟ้าก็ยังมืด เขาเอากาแฟ ขนมปังมาวางไว้ให้เรากินเป็นอาหารเช้า ขณะที่เขาเติมอากาศร้อนเข้าบอลลูน ในบริเวณของเรามีบอลลูน สี่ลูก รวมทั้งลูกของเรา คราวนี้เรามั่นใจแล้วว่าวันนี้เราได้ขึ้นบอลลูนแน่ๆ.....ตอนนี้เงินค่าบอลลูน 230 เหรียญกลายเป็นเรื่องที่ไม่ต้องมาคิดกันละว่ามันถูกหรือแพง ขอให้ได้ขึ้นไปกับบอลลูนก็พอ ทัวร์เราทั้งหมดมี 34 คน จองขึ้นบอลลูนกันทุกคน บอลลูนรับได้ลูกละ 20 คน เราเลยต้องแบ่งกันเป็น สองลูก.....ไม่ช้าเขาก็เอาตะกร้ามาแขวนติดกับบอลลูนเรา แล้วลูกบอลลูนก็เริ่มตั้งขึ้น เราก็เริ่มปีนขึ้นตะกร้า ในตะกร้า ทำเป็นช่อง สำหรับผู้โดยสารสี่ช่อง ช่องละห้าคน ส่วนตรงกลางเป็นคนบินบอลลูน พอปีนเข้าตระกร้าเสร็จ เขาจะสอนให้เราเตรียมตัวตอนลง โดยให้นั่งยองๆ แล้วจับห่วงหูข้างๆตะกร้า....พร้อมแล้วนะ...เอ้าลุย แล้วเขาก็เอาบอลลูนขึ้นค่อยเลียดยอดเขาไปให้เราเสียวๆ....เมื่อวานคุณเจี๊ยบได้เล่าให้เราฟังถึง เมืองคัปปาโดเกียเมืองที่ได้ชื่อว่า ถิ่นม้างาม เมืองนี้เหมือนอยู่ตรงใจกลางของตุรกี หรืออาณาจักรอะนาโตเลีย เลยทำให้เข้าใจได้ เพราะบริเวณนี้สมัยโรมัน ทางตะวันตกเฉียงเหนือก็จะเป็นกรุงโรม และ กรุงเอเท็นของกรีก ลงมาทางใต้ก็จะเป็นอียิปส์ ซีเรีย เยรูซาเร็ม ดังนั้นแถบนี้ก็จะเป็นดงแห่งสงคราม ตั้งแต่สมัยโรมัน ต่อมาก็เจอสงครามครูเส็ดอีก ดังนั้นการจัดหาม้าศึกย่อมเป็นเรื่องสำคัญ....เรื่องม้าก็ทำให้เมืองนี้มีชื่อเสียง แต่สิ่งที่ทำให้เมืองนี้มีชื่อเสียงเรื่องการท่องเที่ยวในปัจจุบัน เพราะภูมิประเทศที่เป็นยอดหิน หรือเนินดินแหลมๆตะปุ่มตะป่ำ เต็มไปทั้งพื้นที่  และหลายยอดถูกเจาะเข้าไปทำเป็นบ้านอยู่อาศัย มันเกิดภูมิประเทศเช่นนี้ได้อย่างไร????? มันเกิดจากภูเขาไฟสองลูกในแถบนั้นระเบิดและพ่นเถ้าถ่าน จนสูงเป็นภูเขา และเมื่อเวลาผ่านไป ทั้งลม ฝน และหิมะ ก็ชะส่วนที่ไม่แข็งนักหลุดร่วงลง ส่วนที่แข็งก็ตั้งเป็นแท่งๆให้เราเห็น ภูเขาไฟก็มีหลายชื่อที่เรียกเปลี่ยนไปตามยุค ลูกแรกก็คือ Erciyes บางทีก็เรียกว่า Achigol ส่วนลูกที่สองเรียก Hasan....นักบินบอลลูนพาเราบินเห็นพระอาทิตย์ขึ้น เห็นทิวทัศน์เบื้องล่าง ทั้งเสียวทั้งสวย เห็นบอลลูนนับร้อยลูก ลอยกันทั่วท้องฟ้า.....แล้วเขาก็พาเราสูงขึ้นๆๆๆ จนเราอยู่สูงกว่าบอลลูนลูกอื่นๆ จนเราเต็มอิ่มก็พาเราลง ที่ ที่เขานำบอลลูนลงไม่ใช่ที่ที่เขาพาเราขึ้นนะ มันอยู่อีกแห่งหนึ่งเลย เรามาถึงเจ้ารถจี๊บก็มารออยู่ก่อนแล้ว เขาเอาตะกร้าลงบนรถจี๊บเลย......พอลงมาก็มีการฉลองแชมเปญ(อยากบอกว่ามันแชมเปญ หรือน้ำอะไรฟ๊ะ รสชาด สุนัขค้อนเลย)...... แล้วแจกประกาศณียบัตรประกาศว่าเราไปไปบินบอลลูนแล้ว....ก่อนที่เราจะเก็บความชื่นมื่นกลับไปทานข้าวเช้าที่โรงแรมก่อนออกไปเที่ยวต่อ

Sompong


ท่องตุรกี 2019 ตอนที่7.....ทิวทัศน์ ที่แปลกตา ของคัปปาโดเกีย ....ผมว่าผมเริ่มจะสับสนว่าเราไปไหนกันบ้าง ถ้าเล่าสลับกันก็ต้องขออภัย หลังจากกลับมาจากการท่องบอลลูน เราก็ขึ้นรถบัสประจำทริป ไปชมจุดชมวิวต่างๆของหุบเขาที่ขึ้นชื่อของคัปปาโดเกีย อย่าที่เล่าให้ฟังคือพื้นที่ส่วนใหญ่ จะเป็นเนินแหลมๆ หรือ ไม่ก็เป็นแท่งทำให้ดูแปลกตามาก ประมาณคล้ายๆแพะเมืองผีบ้านเรา ที่แรกที่เราไป คือ Uchisar Valley เราจะเห็นบ้านถ้ำอยู่บนเขาย่อมๆลูกหนึ่ง มีการเจาะเป็นประตูหน้าต่างไปทั้งเขาเลย ก็ได้ไปแอ็คท่าถ่ายภาพกันมาให้ชมกัน ก่อนที่คุณเจี๊ยบจะพาเราไปร้านเพชร ระยะหลังๆมาผมไม่ค่อยถูกกับเพชรสักเท่าไหร่ เหตูผลที่สำคัญคือดูไม่เป็น กับราคามันสูงมว๊าก เลยดูผ่านๆ ก่อนชวนนางแบบถ่ายภาพตรงกำแพงหน้าร้านดูมันจะมีสีโทนน้ำตาลๆ น่าจะสวยดี จากนั้นเราก็ออกไป ทานมื้อเที่ยงกันตรงภัตตาคารใกล้ๆ ร้านเพชรนั่นแหละ ทานเที่ยงเสร็จเราไปต่อที่จุดชมวิวอีกแห่งคือ Devrent Valley โดยที่เราไปดูหุบนี้จากยอดเนินสูงๆที่มองให้เห็นทั้งหุบ เห็นยอดแหลมๆเรียงรายกันมากมาย อารมณ์ ประมาณ ชม แกรนด์แคนยอน ประมาณนั้น ผมได้ถ่ายรูปคู่ของเพื่อนๆ ก็หวังว่าคงจะเป็นที่ระทึก เก็บไว้อวด โม้ ว่าครั้งหนึ่ง เราก็เคยมาเหยียบ ดินแดนมหากาพย์ แห่งนี้ ที่ผมให้ชื่อว่าดินแดนมหากาพย์ เพราะก่อนจะมาเป็นตุรกีทุกวันนี้ ดินแดนนี้ ผ่านยุคสมัย อาณาจักรโรมัน กรีก เป็นยุคที่เรียกว่า อะนาโตเลีย แล้วมาเป็นอาณาจักรอ๊อกโตมัน แล้วมาเป็นอาณาจักรเปอร์เซีย แล้วมาเป็นประเทศตุรกี จริงๆแล้วมีประวัติก่อนยุคโรมันอีก ยุคปั้นหม้อกันเลย เอาไว้ค่อยเล่าให้ฟังนะ จากจุดชมวิวนี้ เราไปต่อกันที่โรงงานทอพรม ก็เป็นเรื่องที่ผมไม่ได้สนใจมากมาย เพราะ บ้านเราอากาศร้อนฝุ่นเยอะ แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมได้ความรู้คือ พรมดีๆ เขาทอกันเป็นปี ราคาก็แพงหูฉี่เลย เลยทำให้ผมนึกไปถึงนายอาลาดิน ที่นั่งพรมเหาะไปไหนมาไหน อาลาดิน ก็คงเป็นคนแถบบี้แหละ เพราะเป็นชนเผ่าเปอร์เซียร์ แหมเขาน่าสร้าง Story ของอาลาดินซะเลยนะ ออกจากร้านทำพรม เราเมเจอฝน และแล้วลางบอกเหตุว่า พรุ่งนี้ใครจองบอลลูนไว้ คงกินแห้งแน่เลย ต้องขอบคุณเทวดาฟ้าดิน และวิญญาณบรรพบุรุษ ที่สงเคราะห์ ให้เราได้บินบอลลูนวันนี้......และแล้วก็ได้เวลามื้อเย็น ที่เราจะไปชมระบำหน้าท้อง ที่นี่อยู่ห่างออกไปพอสมควร ร้านจะมีการขายอาหาร และมีเหล้าเบียร์ไวน์มาเสริฟ ในเรื่องเหล้า เบียร์ ไวน์ มีเหล้าพื้นเมือง ที่เขาเรียกว่า ราครึ มาให้ชิมด้วย ผมชอบเรียกให้เพี้ยนว่า ราคะ ลองไปหน่อยรสชาดบอกไม่ถูกว่าเหมือนอะไร คล้ายยาแก้ไอ ผสมส่าเหล้า อะไรทำนองนั้น ส่วนรสชาดอื่นของไวน์เบียร์ ก็ไม่โดนเอาซะเลย การแสดง มีตั้งแต่การเต็นรำในงานพิธีต่างๆของเขา ไปถึงพิธี แต่งงาน คุณอั๋นของเราได้รับเชิญไปให้เจ้าสาวเลือกคู่ ไม่ผิดหวังคุณอั๋นเรียกเสียงเชียร์ ได้ทั้งร้านเลย มีอีกโชว์ ที่น่าสนใจ คือการเต็นแบบออกมาหมุนให้กระโปรงบานๆ แถมการปิดไฟ แล้วเปิดแถบไฟวิ่งที่เสื้อผ้าของคนเต้น ก็ตืนตาตื่นใจไม่น้อย ก่อนจะมาถึง ไฮไลต์ของโชว์คืนนี้คือระบำหน้าท้อง หลังจากเธอเขย่าท้องไปได้พักหนึ่งเธอก็เชิญแขกหญิงชายออกไปร่วมแสดง อาจารย์ไก่ ของกลุ่มเราได้รับเกียรติ์นี้ไปเป็นชายเดียวกับอีกสองหญิงรับเชิญ ฮืมมม อาจารย์ตัดสินใจผสานแนวสามช่าที่ถนัด.......อ้าวคิดว่าจะจบ ไม่ได้มันจะต้องมี ฟินาเล่  ใครล่ะ คุณอั๋นไง รอบงานแต่งก็เรียกเสียงแฮไปไม่น้อย คราวนี้โดนเล็งเลย...คุณอั๋นคงบอกว่าขอมาก็ไม่ขัดใจ จัดให้ อุ๊ต๊ะ เอวอ่อนเลย ขนาดไม่ได้ฝึก ไม่ได้ซ้อม คราวนี้เสียงเชียร์มามากกว่าเดิมอีก ไม่ใช่อรรณพ ทำไม่ได้หรอก เฮกันไปกับลีลาเร่าร้อนของแก เป็นที่ประทับใจทั้งไทยทั้งเทศ เกินบรรยายจริงๆ ขอแนะนำให้ไปดูวิดีโอ จะเข้าถึงได้ บรรยายยากมาก......เมื่องานเลี้ยงเลิกรา เราก็ยกกันกลับโรงแรม พรุ่งนี้ผมจองทริป Jeep Safari ไว้ และชัดเจนว่าบอลลูนไม่มีบิน คุณเจี๊ยบเลยนัดเราไว้ตอนแปดโมงเช้า....แล้วเจอกัน

Sompong


ท่องตุรกี 2019 ตอนที่8....แล้ววันที่ต้องร่ำลา คัปปาโดเกีย ก็มาถึง......ตอนแรกผมคิดว่าจะไม่ขึ้นบอลลูน เอาแค่ไปถ่ายภาพตอนเขาปล่อยบอลลูนก็น่าจะพอ แต่ด้วยที่คุณภรรยา แกเปลี่ยนใจ เราเลยจัดทั้งบอลลูน และ Jeep Safari ที่ผมอยากนั่ง Jeep เพราะจะได้เข้าไปถ่ายภาพใกล้ๆ จุดชมวิวต่างๆ แล้วคนที่ชอบเมารถเมาเรือ เขาบอกว่าเขาจะไป Jeep Safari ด้วยก็เลยจัดไป อย่าได้ทำผิดพลาดที่ขัดใจภรรยา อันนี้เป็นความผิดที่ใหญ่หลวงเลย......ได้เวลา เช้ามาเราก็มารอตามนัด.....แปดโมงเช้ารถตู้มารับเราที่โรงแรม นั่งไปประมาณครึ่งชั่วโมง ก็ไปต่อรถ Land Cruiser พอผ่านหมู่บ้านไปเขาก็เริ่มสร้างความหวาดเสียว ขับไต่ข้างขึ้นเนิน  จนรถเอียงข้างไปมา บางช่วงก็ขับขึ้นทางชัน ทางที่เป็นธารน้ำ โขยกเขยกกันไป รถเป็นรถขับเคลื่อนสี่ล้อ สมรรถณะสุดยอด เขาพาเราไปจอดชมจุดชมวิวให้ได้ถ่ายรูปกันสี่ห้าจุด ก่อนมาจบที่จุดชมวิวที่เป็นมุมกว้าง เห็นเขาหินแหลมดาดดื่น สุดลูกหูลูกตา จนได้เวลา อ้าวมีแชมเปญ มาฉลองกันอีกแล้ว ก่อนที่เราจะขึ้นรถตู้กลับ โรงแรม ที่มีลูกทัวร์อีกกลุ่มที่วันนี้ไม่ได้ไป Jeep Safari ด้วย รอเดินทางต่ออยู่แล้ว ที่แรกที่เราไป คือนครใต้ดิน Underground City Derinkuyu or Kaymakli อย่าได้สงสัยเลยว่าทำไมประเทศนี้ สถานที่เดียวกันจึงมีชื่อเรียกกันหลายชื่อ เพราะมีทั้งชื่อเรียกกันในยุคโบราณหรือยุคโรมัน จากนั้นเมื่อเปลี่ยนมาเป็นยุคเปอร์เชีย ยุคเตริก ก็มีการตั้งชื่อกันใหม่ เลยมีหลายชื่อ..... เมืองใต้ดิน หรือเมืองในภูเขา เราต้องเดินกันไปในทางที่เจาะไว้แคบๆ ขึ้นๆลงๆ แล้วจะมีห้องหับต่างๆอยู่เป็นระยะ มีทั้งโบสถ์คริสต์ ห้องครัว ห้องเก็บไวน์ ห้องนอน แล้วก็ห้องส้วม มุดกันก้มๆเงยๆ เล่นเอาวัยรุ่นปวดหลังกันเลยเชียว......ออกจากที่นี่เราไปโรงงานปั้นหม้อ การปั้นหม้อ ไม่ได้มีแค่บท Romance ในหนัง Love Story เท่านั้น พื้นที่แถบนี้ก็มีบทพิสูจน์รักจากการปั้นหม้อ เหมือนกัน....เรื่องมันมาตั้งแต่ดึกดำบรรณ สมัย 3,000-1,300 ปีก่อนคริสตกาลแถบทางตะวันออกเฉียงเหนือของดินแดนคาบสมุทรอะนาโตเลีย เคยรุ่งเรือง เป็นจักรวรรดิ ฮิตไตท์ Hittites Empire ซึ่งมีความสามารถเชี่ยวชาญเรื่องการผสมผสานสร้างโลหะ และการปั้นหม้อไห ต่างๆจนศาสตร์ด้านการปั้นหม้อ ได้มีการถ่ายทอดมาจากรุ่นสู่รุ่นจนปัจจุปัน และที่มันเกี่ยวกับเรื่องรักใคร่ เพราะ พ่อแม่ที่มีลูกสาว เขาจะยกลูกสาวให้ชายที่มาสู่ขอโดยดูจากฝีไม้ลายมือในการปั้นหม้อนี่แหละ....อ้าวแล้วมันเกี่ยวกันอย่างไร ที่เกี่ยวกันเพราะ สมัยก่อนเมืองแถบนี้มีอาชีพหลักอย่างหนึ่งคือปั้นหม้อไห ขายนี่เอง และเขาคิดกันว่าถ้าลูกสาวตกแต่งไปกับช่างปั้นหม้อก็จะไม่ลำบากไงครับ และเครื่องปั้นที่ขึ้นชื่อของเมืองนี้คือ ไอ้เจ้าที่เก็บไวน์ ที่มีทรงเป็นเหมือนโดนัทขนาดใหญ่นี่เอง....หลังจากชมความวิจิตรของจานชาม หม้อไห แล้วเราก็ไปทานข้าวเที่ยงกัน วันนี้เจี๊ยบพาเราออกไปทานปลาที่ภัตตาคาร ที่ออกไปไกลพอควร.....ก่อนจะพาเราไปชมพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งเกอเรเม่ Goreme Open-Air Museum ผมไม่อยากบอกว่าตุรกีมีแหล่งที่ได้รับรองขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกเยอะจนผมไม่อาจบรรยายได้หมด ที่นี่ก็เช่นกันมันเป็นพื้นที่กว้างๆราว สองหรือสามสนามฟุตบอลล์ ที่เต็มไปด้วยเขาแหลมน้อยใหญ่ เรียงรายไปทั่วบริเวณ ไอ้เจ้าเขาแหลมนี้ ไม่ใช่แค่เขา มันถูกเจาะเป็นโพรงทำเป็นโถงห้อง กว้างบ้างแคบบ้างแล้วแต่ขนาด แต่ที่มันสำคัญ คือภายในมันมีภาพวาดฝาผนังเล่าเรื่องประวัติต่างๆของพระเยซู ตั้งแต่สมัยคริสตกาล ที่น่าเสียดายคือพอศาสนาอิสลามแพร่เข้ามาในคาบสมุทรแห่งนี้ ภาพวาดฝาผนังเหล่านี้ก็ถูกแซะทำลายไปไม่น้อย....เดินกันจนเมื่อยตุ้ม แวะเข้าร้านไปหาไอสครีมกินดีกว่า พลันผมเห็น ป้ายแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวอีกแห่ง เป็นรูปหินแท่งดอกเห็ดเต็มไปหมด เลยไปถามคุณเจี๊ยบว่ามันอยู่ที่นี่หรือที่ไหน....คุณเจี๊ยบเห็นว่าพอมีเวลา และเป็นทางผ่านก่อนไปสนามบิน เราเลยได้เก็บภาพเห็ดมาฝาก อย่าไปรู้ชื่อมันเลยนะเพราะมันยาวเป็นวาเลย ผมเลยไม่รู้ว่ามันเรียกสั้นๆว่าไง.....แต่รู้ว่าต้องรีบจ้ำๆ ไปเก็บภาพมา........ ออกจากจุดนี้คุณเจี๊ยบพาแวะไปรับเคปั๊บไก่ ให้เราไปหม่ำที่สนามบิน ความผิดหวังเรื่องอาหาร เหมือนมันจะตอกย้ำ เอาวะถ้าตกยากเมื่อไหร่จะไปเปิดร้านข้าวหมดไก่ขายทีตุรกีให้มันล้วรู้รอดไปเลย.....เอ๊ะว่าแต่ต้อง เข้าอิสลามก่อนไหม เข้าอิสลามนะพอได้ แต่คนจีนที่ชื่อ เจ้าอย่าหวัง เขาจะว่าไงนี่ต่างหาก.....หลังกำจัดเคปั๊บไก่ไปหนึ่งอัน ก็ได้เวลาบอกลาคัปปาโดเกีย...มุ่งสู่อิสตันบูล แล้วเจอกันที่อิสตันบูลครับ

Sompong


ท่องตุรกี 2019 ตอนที่9.....มีอะไรดีที่..อิสตันบูล...หลังทานอาหารเช้าที่โรงแรมเรามุ่งสู่พระราชวังทอปกาปี Tokapi Palace ก่อนจะไปไกลก็ขอเล่าเรื่องเมือง อิสตันบูลก่อนนะ หลายคนคงคุ้นเคยกับชื่อ คอนสแตนติโนเปิ้ล Constantinople เมืองนี้เป็นเมืองหลวงของจักรวรรดิ ไบเซ็นไทม์ ต่อมาสุลต่าน ของ อ๊อตโตมันชื่อ เมเม็ดที่2 Mehmed II ได้เข้าตีและยึดครองเมืองนี้ได้ ด้วยความปรีชาสามารถนี้ จึงถูกขนานนามว่า Mehmed the Conqueror ตกลงแปลเป็นไทยว่า เมเม็ดผู้ยิ่งใหญ่ ผมว่ามันไม่ค่อยตรงนักนะ มันต้องแปลว่า เมเม็ด ผู้ชนะสิบทิศมากกว่า.....เลือกเอาที่สบายใจนะ....ที่สุดสุลต่านเมเม็ดจึงได้ยึดครองเมืองนี้ แล้วเปลี่ยนชื่อเป็นอิสลามบูล และเพี้ยนมาจนเรียกขานกันเป็น อิสตันบูลในปัจจุบัน ในยุคสมัยไบเซ็นไทม์ เขาจะเรียกกษัตริย์เขาว่า ซีซ่า แต่จักรวรรดิ อ๊อตโตมัน จะเรียกกษัตริย์ว่าสุลต่าน จริงๆแล้วสุลต่านเมเม็ดปกครองอาณาจักรนี้ เป็นสองช่วงเวลา ช่วงแรกในปี คศ1444 ถึง คศ1446 สุลต่านเมเม็ด แพ้สงครามครูเส็ด แก่ จอร์น ฮันยาดิ แม่ทัพชาวฮังการี แล้วกลับมามีชัยชนะได้ปกครองแถบนี้อีกช่วง คศ1451 ถึงคศ 1481 และสุลต่าน เมเม็ด ก็ได้สร้างวังใหม่ สำเร็จในหกปีหลังจากเข้าปกครองพื้นที่แถบนี้ ชื่อว่าพระราชวัง ทอปกาปี เป็นพระราชวังใหม่ แสดงว่ามีพระราชวังเก่า ใช่ครับ ขออนุญาติผ่านเรื่องพระราชวังเก่านะ...ไม่งันคงยาวมว๊าก..และชื่อ ทอปกาปี แปลว่า ประตูปืนใหญ่ Cannon gate ปัจจุบันเป็นพิพิธภัณฑ์ ให้คนได้มาชมมาศึกษา ด้านใน ก็มีสนามกว้างๆอยู่ตรงกลาง ด้านซ้ายก็จะเป็นส่วนพำนักของสุลต่าน อะฮะมีฮาเร็ม ที่พักสาวๆของสุลต่านด้วย พอมีสาวๆมาก็มีเรื่องมีราวมากมาย จะเล่าก็คงไม่ไหว ส่วนทางขวาจะเป็นโรงเรือนยาวๆ ผมเดาว่าน่าจะเป็นที่พักพวกทหาร อะไรเทือกนั้น ตอนนี้กลายเป็นที่แสดงถ้วยโถโอชามไปแล้ว....ตรงไปด้านหลังก็มีโรงเรือนอีก แล้วไปสุดที่ทะเล....เดินกันจนเมื่อยคุณเจี๊ยบก็พาเราเดินออกจาก พระราชวังทอปกาปี ไปยัง สุเหร่า เซนต์โซเฟีย Mosque of Hagia Sophia หรือปัจจุบันเรียกกันว่า Ayasofya Museum ภายในจะเป็นโถงสูงๆ ส่วนตรงกลางเป็นรูปโดม ก็มีการทำลวดลายไว้ทั้งส่วนผนัง และโดม น่าเสียดายว่าในขณะที่เราไปชม ได้มีการปิดบางส่วงเพื่อซ่อมแซม เดิมชมกันจนเลยเที่ยง ได้เวลาทานข้าว เอาว่า พักไปทานข้าวเที่ยงกันก่อนแล้วค่อยมาเล่าต่อนะ

Sompong


ท่องตุรกี 2019 ตอนที่10......เมืองแห่งเสา.....กับสุเหร่าสีน้ำเงิน......หลังทานเที่ยงเสร็จคุณเจี๊ยบก็พาเราเดินเข้าถนนเล็กๆที่ทะลุไปยัง จตุรัสสุลต่านอาห์เหม็ด Sultan Ahmed Complex แต่สมัยโบราณตรงนี้เป็นที่แข่งม้า Horse Racing และการแข่งรถม้า Chariot Racing ทำให้ผมนึกถึงหนังเรื่อเบ็นเฮอร์ขึ้นมาเลย และสมัยนั้นเขาเรียกที่นี่ว่า ฮิปโปโดม Hippodrome มันไม่เหมือนจตุรัส เพราะมันเหมือนถนนสี่เลน และสองข้างจะมีอัฒจันทร์ ที่นั่งชม แต่ตอนนี้เราไม่เห็นอัฒจันทร์แล้ว คงพังทลายไปตามกาลเวลา ที่เราเห็นตรงกลางมี แท่งหินแหลมสูง คล้ายอนุสาวรีย์ อันโด่งดังที่วอร์ชิงตัน ดีซี แต่ขนาดย่อมกว่า น่าจะสูงสักสามสิบกว่าเมตร เจ้าแท่งนี้มีชื่อว่า Obelisk of Trutmose III ว่ากันว่าเจ้าแท่งนี้ได้นำมาโดย Theodosius The Great จากอียิปส์ มาตั้งไว้ที่นี่ตั้งแต่ยุคโรมัน  และชำรุดทรุดโทรม ก็มีการบูรณะ ให้ดูดีเช่นปัจจุบัน  ส่วนอีกจุดไม่ไกลนัก ก็มีรูปปั้นเป็นเกลียวทรงสูงชลูด เจ้ารูปปั้นนี้ชื่อว่า Serpent Column ทั้งคู่ตั้งอยู่ตรงแนวกลาง ถ้าบอกว่าเขาแข่งรถม้าวิ่งทางตรงยาวแล้ววนกลับ มันน่าจะเข้าเค้านะ.....จากจุดนี้เราเดินลัดเลาะไปอีกไม่ไกลก็ถึงสุเหร่าสีน้ำเงิน Blue Mosque ตรงบริเวณแถบนี้ทั้งหมดเป็นเขตเมืองเก่า ทุกอย่างก็มากระจุกกันอยู่ที่นี่ ก็แบบเดียวกันกับบริเวณเกาะรัตนโกสินทร์บ้านเรา ถ้าเราออกไปอีกหน่อยที่นี่ก็ติดช่องแคบบอสฟอร์รัส เราจะเห็นแนวกำแพงเมืองเก่า บางส่วนก็ยังอยู่ดี บางส่วนพังเพราะโดนปืนใหญ่ยิงสมัยสงครามครั้งก่อนโน้น บางส่วนก็พังไปตามกาลเวลา.....ในตุรกี สุลต่าน หรือ เจ้าขุนมูลนาย ตลอดไปจนพ่อค้า ข้าราชการผู้ใหญ่ เขานิยมสร้างสุเหร่า และวัดฐานันดรว่าเป็นสุเหร่าของใครระดับไหนจากจำนวนเสาแหลมๆ ที่เป็นหอกระจายเสียงว่ามักี่หอ ที่ตุรกีสุเหร่าที่มีหอกระจายเสียงมากที่สุดคือ สุเหร่า สีน้ำเงิน ที่มีถึง หก หอกระจายเสียง ที่จริงสุเหร่านี้มีชื่อจริงๆว่า สุเหร่าสุลต่านอาห์เหม็ด Sultan Ahmed Mosque แต่ที่ได้ชื่อว่าสุเหร่าสีน้ำเงินก็เพราะ ภายในมีการประดับด้วยกระเบื้องเซอรามิกสีน้ำเงิน และเมื่อนักท่อเที่ยวมาเที่ยวที่ตุรกี โดยเฉพาะอิสตันบูล เขาจะเห็นสุเหร่าหน้าตาเหมือนๆกันเต็มไปหมด แต่ที่นี่ที่เดียวที่ประดับด้วยกระเบื้องสีน้ำเงิน ที่เป็นเอกลักษณ์ เขาเลยเรียกกันว่าสุเหร่าสีน้ำเงินซะเลย ก่อนเข้าชมที่นี่ ต้องสวมถุงครอบเท้า และสุภาพสตรีต้องมีผ้าคลุมศรีษะ ภายในก็ไม่กว้างมากนัก เป็นโถง เขายังใช้เป็นที่ละมาดอยู่โดยแบ่งส่วนไว้ มีรั้วไม้สูงประมาณหน้าอก แบ่งเขต ที่เพดานก็มีลูกโดมเล็กใหญ่ซ้อนๆกัน ประดับเป็นลวดลาย พื้นก็เป็นพรมสีแดงเลือดนก ส่วนของผลันจะเป็นเซอรามิกสีฟ้า ผมได้เก็บรูป มามากพอควร ก็เสียดายอีก ที่บางส่วนปิดซ่อมแซมอยู่.......เนื่องจากเมืองอิตันบูลมีสุเหร่า มากมายอย่างที่เล่าให้ฟัง ก็ทำให้มี หอกระจายเสียงซึ่งดูเหมือนเสาเยอะแยะมากมายจนเมืองนี้ได้ชื่อว่าเป็นเมืองแห่งเสา.......เราออกจากที่นี่เรานั่งรถต่อไปที่ตลาดเครื่องเทศ ผมแปลเองนะ เพราะเขาเรียกกันว่า Spice Market แน่นอนที่นี่มีเครื่องเทศสารพัดชนิดขาย และที่เด็ดสุดคือขนม ที่หลายคนต้องซื้อเป็นของฝาก หน้าตาคล้ายๆกระยาสาร์ทบ้านเรา แล้วเขามีส่วนผสม แยกเป็นหลายๆอย่าง ตลาดนี้อารมณ์ไหน ให้คิดว่าคุณเดินแถวจตุจักร ก็มีตาดีได้ของดีราคาถูก ตาร้ายก็อาจจะได้ของแพงหน่อย ตลาดนี้ตั้งอยู่บนถนนเลียบชายฝั่งช่องแคบบอสฟอร์รัส ผู้คนเดินซื้อของกันมากมาย ด้วยที่ผมไม่อยากไปแทรกกับเขาเลยเดินมานั่งรับลมชิวๆ อยู่หน้าตลาด จนได้เวลา เราก็ไปรวมตัวกันขึ้นรถกลับโรงแรม แล้วเจอกันวันพรุ่งนี้นะครับ

Sompong


ท่องตุรกี 2019 ตอนที่11.....และแล้วได้เวลา ต้องลากันนะ ตุรกี....วันนี้วันที่ 17 กันยายน 2019 เราเช็คเอ้าท์ออกจากโรงแรมหลังอาหารเช้า วันนี้เราจะไปล่องเรือในช่องแคบบอสฟอร์รัส แล้วไปชมพระราชวังโดลมาบาเช ไปเสียตังส์ที่ตลาดแกรนด์บาซาร์ ก่อนกลับเมืองไทย...... เมืองอิสตันบูลนับว่าเป็นเมืองที่ตั้งอยู่บนชัยภูมิที่ดี มันตั้งอยู่บนฝั่งของช่องแคบบอส์ฟอร์รัส ซึ่งเชื่อมต่อระหว่างทะเลดำกับทะเล Marmara อยู่ทางส่วนเหนือของช่องแคบซึ่งถือว่าอยู่ฝั่งยุโรป  เดิมมันชื่อคอนสแตนติโนเปิ้ลจริงๆหรือ และเป็นเมืองที่ก่อตั้งโดย จักรพรรดิคอนสแตนติน ผู้ยิ่งใหญ่ แห่งจักรวรรดิโรมันกระนั้นหรือ????อันที่จริงเมืองนี้มันมีมาตั้งนมนานแล้ว ประมาณช่วง 1,300-1,100 ปีก่อนคริสตกาลและมีชื่อว่า Lygos ต่อมาจักรวรรดิโรมันได้แผ่อิทธิพลลงมาทางใต้และคืบไปยังทางตะวันออก ก็เลยเรียกกันว่าเป็น จักรวรรดิโรมันตะวันออก Eastern Roman Empire  หรือจักรวรรดิไบเซ็นไทม์ Byzentine Empire ต่อมาช่วง คศ 193-211 จักรพรรดิ Septimius Severus ที่ปกครองงแถบนี้ก็เปลี่ยนชื่อเมืองนี้เป็น Augusta Antonina จนมาถึง คศ 330 จักรพรรดิ Constantine I ก็มาเปลี่ยนชื่อเมืองนี้ เป็นเมืองของคอนสแตนติน หรือ Constantinopolis หรือเรียกกันมาว่าคอนสแตนติโนเปิ้ล จวบจนมาเปลี่ยนเป็น อิสลามบูล จนเพี้ยนมาเป็นอิสตันบูลในปัจจุบัน.....ล่องเรืออารมณ์ไหนนะหรือ อารมณ์นั่งเรือชมเจ้าพระยาตอนกลางวัน แต่ช่องแคบบอส์ฟอร์รัสนี่น่าจะกว้างกว่าเจ้าพระยาอยู่เกือบๆเท่าตัวนะครับ ก็ได้ชมวิว ตึกรามบ้านช่องที่เก่าแก่เป็นส่วนใหญ่ ก็สวยไปอีกแบบ ออกเรือมานานพอสมควรเรือก็กลับลำวิ่งกลับไป ไม่ช้านักเราก็ผ่านพระราชวังโดลมาบาเช Dolmabahce Palace ซึ่งเมื่อขึ้นฝั่งเราจะไปชมที่นี่กัน.....เอาละเข้าฝั่งแล้วไปกันครับ ตั้งแต่ซุ้มประตูทางเข้าก่อนถึงตัวพระราชวังห่างกันประมาณ ร้อยเมตรเห็นจะได้ เป็นสวนและสระน้ำพุ เราได้รับอนุญาติให้ถ่ายภาพได้ภายนอกเท่านั้น ไม่อนุญาติให้ถ่ายภาพภายใน.....แล้วมันอารมณ์ ไหนนะหรือ?? ผมว่ามันแบบๆพระราชวังแวร์ซายด์ แต่ขนาดเล็กลงมาหน่อย พวกข้าวของก็น่าจะน้อยกว่า ความเป็นมาของพระราชวังนี้หรือครับ.....พระราชวังแห่งนี้ได้สร้างตามคำบัญชาของสุลต่านพระองค์ที่31 ของจักรวรรดิอ๊อคโตมันชื่อ สุลต่าน อับดุลมาซิดที่1 Abdulmacid I ในช่วงปี คศ 1843-1856 เพราะพระองค์เห็นว่าพระราชวังทอปคาปี เก่าแก่และขาดเครื่องอำนวยความสะดวก ไม่ทัดเทียมกับประเทศในยุโรปในสมัยนั้น สุลต่านพระองค์นี้จึงพำนักอยู่ที่นี่ จนต่อมาในปีคศ 1923 นายพล Mustafa Kemal Ataturk ได้เปลี่ยนแปลงการปกครอง และสถาปณาเป็นประธานาธิบดี คนแรกของ Republic of Turkey ก็ได้พำนักที่พระราชวังแห่งนี้ และเป็นที่ทำงานจนเสียชีวิตที่พระราชวังแห่งนี้......เราออกจากที่นี่ก็เหลือตลาดแกรนด์บาซาร์ Grand Bazaar ที่จะต้องไปละลายทรัพย์กัน คนข้างกายผมเลยได้เสื้อหนังมาอีกตัว ส่วนผมนะหรือ คนหิ้วถุงไงครับ 5555 กว่าจะตัดแขนเสร็จก็หมดเวลา ตลาดจะวายพอดี เลยฝากความหวังเล็กๆไว้ที่สนามบิน.....ได้ครับ ได้เสื้อกันหนาวราคาสุดแพงที่สนามบิน ตัวละ 89 ลีร่ามาสองตัวเป็นร้านยี่ห้อดังของบ้านเขา อยากรู้กี่บาทก็ลองเอา 6 คูณนะ สิ่งที่ยอดเยี่ยมกระเทียมเจียวคือผมทำลายเงินลีร่าที่สนามบินจนหมดกระเป๋า ไม่เหลือเลยสักลีร่า คงไม่คิดว่าจะมาตะลุยตุรกีไปอีกนาน และหยุดรับไก่ หรือ เคปั๊ป ไปอีกนาน.....คิดโน่นนี่ ดูหนังบนเครื่อง ซดไวนืไปหลายขวดก่อนจะม่อยหลับไป คุณภรรยานะหรือ สาวๆเขาชวนกันไปยึดที่ว่างท้ายเครื่องหลับยาวยันกรุงเทพฯเลยครับ.......ทริปตุรกีทีเล่ามา หวังว่าได้อรรถรส สนุกสนานกันนะครับ ผมพลาดไปพาดพิง หรือแซวใครก็ขออภัยมา ณ.ที่นี้ แล้วค่อยเจอกันทริปหน้านะครับ สวัสดี....
จบ บริบูรณ์

Sompong


วีดีโอ ท่องตุรกี 2019 by สมพงษ์

TURKEY 2019 PART1


TURKEY 2019 PART2


TURKEY 2019 PART3