พฤศจิกายน 22, 2024, 12:57:43 ก่อนเที่ยง

ข่าว:

SMF - Just Installed!


การใช้กล้อง Olympus OM-D E-M1

เริ่มโดย Sompong, พฤษภาคม 23, 2016, 06:20:01 หลังเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

Sompong

อารัมภบท ก่อนอื่นขอทำความเข้าใจปุ่มต่างๆ เวลาอ้างถึงจะได้เข้าใจตรงกันนะครับ จากสไลด์ที่ให้ดู มีล้อหมุนหน้า ขอเรียกง่ายๆว่า ล้อหน้า ล้อหมุนหลังก็เรียกว่า ล้อหลัง มีล้อหมุนปรับ Mode อยู่ด้านบน ถัดมามี คานโยกที่ติดกับปุ่ม AEL/AFL อยู่ด้านขวาของช่องมองภาพ ส่วนด้านซ้ายจะมีปุ่มรูปคล้ายจอทีวีเล็กๆ ส่วนปุ่มบนซ้ายติดกับคัยโยกปิดเปิด ก็ค่อยมาดูกันอีกที......ทันนะครับ

Sompong

Olympus OM-D E-M1 ตอนที่ 1 ก่อนอื่นต้องบอกเจตนาว่าที่นำเรื่องการใช้งานมาเล่าสู่กันฟัง ไม่ใช่จะอวดเก่ง อวดรู้ แต่เข้าใจหัวอกคนใช้กล้องที่มันมีปุ่มเยอะ แล้ว งง ว่าจะปรับอะไรตรงไหน แล้วเวลานั้นมันหาที่ปรับไม่เจอ มันอึดอัดขัดใจ กล้องตัวนี้มันมีปุ่มมาช่วย แต่ต้องรู้วิธีใช้มันหน่อย
เอาว่าเรามาเรียนรู้การใช้กล้อง เราไม่ได้มาเรียนรู้เรื่องการถ่ายภาพให้งามนะ ผมจึงไม่ขอคุยเรื่องชัดลึก ชัดตื้น หรือ องค์ประกอบภาพนะครับ เดี๋ยวมันจะยาวแล้วจะยิ่ง งงงงงง ในการถ่ายภาพค่าที่สำคัญมาก กลุ่มแรก 3 ตัว คือ F,Speed,ISO กลุ่มที่สำคัญรองลงมาอีกตัวคือ WB ส่วนที่เหลืออีกประมาณ 5-6 ตัวเอาไว้ให้พวกอยากเป็นเทพเขาใช้กัน
ดูเม้นต์ในอารัมภบทแล้วนะ คราวนี้มาดูว่าเราจะถ่ายด้วย Mode อะไรก่อน ที่ ผมใช้มากสุด ก็ Mode A รองมาก็ Mode M แว้นแต่เกี่ยวกับความเร็วจึงใช้ Mode S ส่วน Mode P ใช้ยามจำเป็น แล้วไว้ค่อยบอกว่ายามไหนจำเป็น บางท่านโปรกว่าผม เล่น Mode M นำก็ไม่ว่ากัน เอาว่าถ้าเข้าใจการใช้ปุ่มกับ Mode A และ M อีกสอง Mode ที่เหลือก็กล้วยแล้วครับ
เริ่มที่ Mode A นะ ก็ปรับวงล้อ Mode ไปที่ A เราจะใช้วิธีมองทางช่องมองภาพก็ได้เลย ส่วนจะใช้ Live View ก็กดปุ่มรูปทีวี ทางซ้ายของช่องมองภาพ บนจอ LCD อาจจะไม่แสดงให้เห็นภาพที่จะถ่าย แต่แสดง Menu รวมมิตรมาให้ ก็ไม่เป็นไร กดปุ่มรูปทีวีอีกครั้งก็จะเป็นภาพที่ต้องการถ่ายบนจอ LCD ครับ
คราวนี้เจ้าล้อหน้า กับล้อหลัง จะเป็นตัวพระเอกครับ ก่อนอื่นต้องให้ เจ้าคาน AEL ที่อยู่ทางขวาของช่องมองภาพ อยู่ในตำแหน่งที่ 1 คานตัวนี้สำพันธ์กับการทำงานของ ล้อหน้า ล้อหลัง ของเรา เมื่อคานอยู่ในตำแหน่งนี้ ล้อหน้าจะปรับค่าชดเชยแสง ล้อหลังเป็นค่ารูรับแสง ถ้าใช้ Mode A ก็ต้องเลือกตั้งรูรับแสงก่อนเลย เอาตามที่ท่านสอนมานะครับ ก็ต้องปรับตั้งที่ล้อหลังไช่ไหม????
จากนั้นมาปรับชดเชยแสงด้วยล้อหน้า กล้อง Mirrorless จะดีตรงที่ปรับชดเชยแสงเมื่อไหร่ เราเห็นได้ทันทีว่าภาพสว่างหรือมืด ไม่ว่าจะจากช่องมองภาพ หรือ จอ ไม่ต้องมองจาก Light Scale แล้วท่องว่า ดำเด้อร์ ไวท์เวอร์ เหมือนกล้อง DSLR นี่คือข้อดีข้อที่1
คราวนี้เมื่อปรับชดเชยแสงให้ดูค่า speed จะเห็นในช่องมองภาพ หรือ จอ หาก เจอ speed ที่ค่า 30 (หมายถึง 1/30 วินาทีนะจ๊ะ ดูให้ดีๆ ไม่ใช่ 30 วินาที ไม่เข้าใจจะไล่ไปเรียนใหม่) หรือมากกว่า สบายๆถือกล้องปกติ เอาอยู่ แต่ถ้าอ่านได้ 15-30 เมื่อไหร่ยังถ่ายด้วยมือได้แต่ต้องถือกล้องให้มั่นคงหน่อย เพราะกล้องตัวนี้มีกันสั่นห้าแกน นี่คือข้อดีข้อที่สอง อย่าลืมเปิดมันด้วยนะเจ้า ถ้าต่ำกว่า 10 โอกาสที่จะได้ภาพไหวไม่ชัดมีสูง แล้วถ้าเจอปัญหานี้ จะทำอย่างไร......ก็เปิดหน้ากล้องกว้างขึ้น หรือปรับ ISO ให้สูงขึ้น ปรับรูรับแสงหน้ากล้องที่ล้อใหนครับ ล้อหลังไง
แล้วถ้าจะปรับ ISO ล่ะ ง่ายๆกับกล้องตัวนี้ ดันคาน AEL มาอยู่ที่ตำแหน่ง 2 ล้อหน้าจะทำหน้าที่เป็นตัวปรับ ISO ในทันที ส่วนล้อหลังก็จะปรับ WB การปรับ ISO คือการปรับแสงให้มืดหรือสว่าง ส่วน WB คือการปรับสี ซึ่งมีให้เลือกค่าสำเร็จต่างๆมากมาย ถ้ายังไม่พอใจ ก็ใช้ Custom WB หรือ CWB ใช้ปรับ องศา Kelvin เอา อย่างเคย ปรับแสงหรือสีก็แสดงให้เห็นทันที แต่ขอติง Olympus หน่อย ว่าสียังไม่เป็นธรรมชาติเหมือนตาเห็น...ต้องปรับปรุงหน่อยนะ ระวังหน่อยเมื่อปรับคานมาที่ตำแหน่ง 2 แล้วปรับตั้งค่า ISO หรือ WB จนพอใจแล้วให้ดันคานกลับไปตำแหน่งที่ 1 ไม่งั้นจะก่งก้งครับ เพราะเรามักชดเชยแสงบ่อยกว่า การปรับ ISO หรือ WB เอ้า เป็นไง พอได้นะกับ Mode A ตอนหน้ามาคุย เรื่อง Mode M กัน

Sompong

Olympus OM-D E-M1 ตอนที่ 2 ขอย้ำเจตนาว่าที่นำเรื่องการใช้งานมาเล่าสู่กันฟัง ไม่ใช่จะอวดเก่ง อวดรู้ แต่เข้าใจหัวอกคนใช้กล้องที่มันมีปุ่มเยอะ แล้ว งง ว่าจะปรับอะไรตรงไหน แล้วเวลานั้นมันหาที่ปรับไม่เจอ มันอึดอัดขัดใจ กล้องตัวนี้มันมีปุ่มมาช่วย แต่ต้องรู้วิธีใช้มันหน่อย
ตอนนี้ขอคุยเรื่อง การใช้ Mode M กริ่นกันหน่อยว่าเราใช้ Mode นี้เมื่อไหร่ เมื่อเราต้องการให้รูรับแสงและ Speed คงที่ ไม่ขึ้นกับการการวัดแสงของกล้อง งง มากขึ้นไปอีกไช่ไหม เช่นการถ่ายภาพในสตูดิโอ แล้วเราใช้ไฟแฟลช หรือไฟสตู ถ้าเราไม่ใช้ Mode M ใช้ Mode A เราจะวุ่นวายมากกับการชดเชยแสง ดีไม่ดีลองผิดลองถูก จนนางแบบโดนไฟยิงจนตาแดงกันไป และตอนผมถ่ายรูปในพิพิธภัณฑ์ ผมก็ใช้ Mode M ตั้ง ค่า F, Speed ครั้งแรก จะวัดแสงปรับให้บวก หรือ ลบ ดูผลจนพอใจ แล้ว เล่นยาวเลย
เอานะ ว่ากันเรื่อง Mode M ขั้นแรกตั้งคาน AEL ไปอยู่ตำแหน่งที่ 1 ล้อหน้าจะเป็นการปรับรูรับแสง ล้อหลังจะเป็นการปรับ speed ครับ ถ้าดันคาน AEL ไปอยู่ตำแหน่ง 2 ล้อหน้าก็ใช้ ปรับ ISO ล้อหลังปรับค่า WB แค่นี้เอง
ส่วนปุ่มบนด้านซ้าย ครึ่งหน้าจะเป็นการเลือกคำสั่งการถ่ายภาพ แบบ Multi shot ,Timer หรือ การถ่ายแบบ HDR ส่วนครึ่งหลัง เป็นการตั้ง โฟกัส แบบต่างๆ และการวัดแสงแบบต่างๆ การใช้งาน ก็ต้องกดฟังชั่นที่เราต้องการปรับ ในจอก็จะแสดงว่า ล้อหน้าใช้ปรับค่าอะไรก็ตามที่แสดงอยู่ทางส่วนบนของจอ ส่วนล้อหลังใช้ปรับค่าที่แสดงอยู่ทางส่วนล่างขอจอ เราก็ปรับฟังชั่นตามต้องการ จากนั้นกดชัตเตอร์ครึ่งหนึ่งหรือกดปุ่ม OK กล้องก็จะกลับสู่ภาวะพร้อมถ่ายปกติ ถ้ายัง งงๆอยู่ให้หยิบกล้องมาลอง เฉพาะ กล้องรู่นนี้เท่านั้น ผมเข้าใจว่า แม้ เป็น Olympus ก็ตาม ถ้าต่างรุ่นตำแหน่งปุ่มต่างๆก็วางไม่เหมือนกันนะครับ เดี๋ยวจะงงไปใหญ่ แต่ถ้ายังไม่หาย งง ก็ต้องโทรมาคุยกันนะครับ แต่ถ้าจะถามว่าจะไช้ฟังชั่น โนน่ นี่ เมื่อไหร่ อันนี้คงต้องคุยกันยาว ต้องไปคุยกันที่ร้านก๋วยเตียว สักร้านหนึ่งท่าจะดี
ถ้าใครงง กับล้อหน้า ล้อหลัง คาน AEL ก็ไปอ่านในโพสต์ก่อนๆ เสียก่อนนะครับ

Sompong

คุยกันเรื่องถ่ายภาพต่อนะครับ เราค้างกันอยู่อีกสอง mode คือ S และ P. Mode S เราใช้เมื่อถ่ายภาพที่เลือกตั้งเพราะบังคับความเร็วเช่นถ่ายน้ำตก นกบิน รถแล่น เวลาตั้งปรับกล้องก็ทำนองเดียวกับ mode A เพียงแค่แทนที่ล้อปรับนั้นเป็นรูรับแสงก็จะเป็นความเร็วชัตเตอร์แทน
ส่วน mode P หลายคน งง ว่าใช้เมื่อไหร่ ใช้เมื่อเราไม่มีเวลาปรับตั้งค่ากล้อง ต้องจังหวะนั้นจริงๆ เช่น ถ่ายภาพจากรถไฟกำลังแล่นอยู่ ถ่ายภาพแนวstreet ที่ต้องเอาเรื่องจังหวะมาก่อน หรือเมื่อเจอดาราเดินผ่านมา เจอนายก อย่าทำเล่นผมเคยเดินสวนกับนายกสิงคโปร์ที่ Garden by the bay ห่างกันเมตรเศษๆ ไม่ได้ถ่ายหรอก เพราะมัวแต่ งง ก็เขาไม่มีบอดี้การ์ดเยอะแยะ งง ว่าใช่ไหม มารู้แน่ๆก็ตอนคนทักเขาว่า good evening Mr. Lee ลองไปเล่นกันดูนะครับรู้วิธีปรับกันแล้ว
ส่วนที่จะเลื่อนชั้น ขอให้ไปดูเรื่อง picture style ว่าปรับละเอียดในแต่ละ style จะส่งผลต่อภาพอย่างไร เท่าที่ผมรู้จักเทพหลายท่าน ท่านเหล่านี้มักตั้งที่ style Standard หรือ Neutral แล้วปรับค่า อื่นๆเช่น contrast saturation, hue แต่ต้องฝึกกันพอควรเชียวครับ ที่สำคัญต้องดูให้ออกว่าควรเพิ่มหรือลดอะไร ผมก็ยังงูๆปลาๆอยู่ครับ