พฤศจิกายน 23, 2024, 04:34:58 หลังเที่ยง

ข่าว:

SMF - Just Installed!


กระทู้ล่าสุด

หน้า 1 2 3 4 5 ... 10
21
ท่องเที่ยว / วัยเก๋าเล่าเรื่องเที่ยว ตุรกี ...
กระทู้ล่าสุด โดย Sompong - พฤศจิกายน 28, 2021, 12:55:27 หลังเที่ยง

วัยเก๋าเล่าเรื่องเที่ยว ตุรกี ดินแดนอารยธรรมล้ำลึก ฉากที่4

วัยเก๋าเล่าเรื่องเที่ยว....ตอน..."ตุรกี ดินแดนอารยธรรมล้ำลึก" ฉากที่ 4...ชุดที่1
...."ชื่นชมความงามของสวนน้ำของครีโอพัตรา"....เช้าวันที่ 12 กันยายน เราออกเดินทางจากโรงแรม Asayra Thermal หลังจากทานอาหารเช้าเรียบร้อย ที่แห่งแรกที่จะไปคือโรงงานตัดเย็บ แจ็คเก็ตหนัง ก่อนจะหลวมตัวกันมีการพาเข้าห้อง เดินแฟชั่นโชว์ ทำให้เคลิบเคลิ้มกันก่อน แถมชุดฟินาเล่ เป็นการเดินของลูกทัวร์เรานี่แหละ  ผมเคยทราบมาว่าสะนนราคาเสื้อที่นี่แพงหูฉี่ ประมาณ 650 เหรียญอเมริกัน กันเลย ผมเลยคิดว่า คนที่จะซื้อต้องกลุ่มคนกระเป๋าหนักๆ คงไม่ใช่พวกซัมเหมาเช่นเรา ก็เลยได้แต่ถ่ายรูปเป็นที่ระลึก เดินชมกันเพลินๆก็น่าจะพอ.....และแล้วทันใดนั้น งานเข้า เพราะภรรยาผม ไปลองแจ็คเก็ตสีดำเข้าเธอเริ่มอินเลิฟ จนดูแล้ว คงสุดปัญญาที่จะทัดทานไหว ขนาดสำทับว่าให้จ่ายเองนะ ผมไม่สปอนเซอร์ให้ เธอก็หานำพาไม่ แม้ตอนแรกทางร้านจะบอกว่าลดราคาจากป้ายที่ขายส่งให้อีก 30%  จากเก้าร้อยกว่าเหรียญนี่นะ เธอยืนยันหนักแน่น.....ผมเลยไปต่อรองกับผู้จัดการ ดูแกจะใจดี ลดเหลือ 50% ตกลงใจดีจริงๆ หรือ เป็นไปตามแผนก็ไม่รู้ จากนั้นเราก็มีแก้งส์ เสื้อหนังประจำกลุ่ม







































วัยเก๋าเล่าเรื่องเที่ยว....ตอน..."ตุรกี ดินแดนอารยธรรมล้ำลึก" ฉากที่ 4...ชุดที่2
...."ชื่นชมความงามของสวนน้ำของครีโอพัตรา"...เราออกจากร้านเสื้อหนัง มุ่งสู่เมืองปามุคคาเล  Pamukkale-Hierapolis เมืองนี้ต้องเดินทางจากฝั่งตะวันตกเข้าไป กลางดินแดนตุรกี แต่ก็ยังเป็นเมืองที่อยู่ในแถบตะวันตกของประเทศนี้ อย่าถามเรื่องอาหารเลยนะครับเพราะ ผมจำไม่ค่อยได้ว่าไปทานเที่ยงที่ไหน ส่วน มื้อเช้ากับ มื้อเย็นก็ทานที่โรงแรมนั่นแหละ อีกอย่างเรื่องอาหารที่ไม่อยากจำ เพราะ รสชาด ประมาณว่าถ้าให้สุนัขไทยทาน มันคงมองหน้าแล้วหันมาค้อน ปามุคคาเล่ และเฮียราโพลิส เป็นเมื่องมรดกโลกอีกเมือง สถานที่นี้มีเหล่งที่เป็น ไฮไลท์ อยู่สามที่คือ  โรงละครกลางแจ้ง ที่ยังคงความสมบูรณ์ อยุ่  โรงอาบน้ำโรมัน หรือสระที่ยังให้บริการจนถึงปัจจุบัน และ ปราสาทปุยฝ้าย สองส่วนแรก เป็นส่วนของเมืองโบราณ เมืองนี้ชื่อเฮียราโพลิส Hierapolis ส่วนปราสาทปุยฝ้าย เป็นส่วนที่เกิดจากสระหินปูนที่เกิดจากน้ำพุร้อนที่มี สินแร่ แคลเซียมไบคาร์บอนเน็ต ในภาษาตุรกี  Pamuk แปลว่า ฝ้าย ส่วน Kale แปลว่าปราสาท น้ำที่มีสินแร่เหล่านี้จะไหลลดหลั่นทำให้เกิดสระเล็กสระน้อยสีขาวโพลน จากยอดเขาลงสู่เชิงเขา สระน้ำเหล่านี้ มีน้ำสีฟ้าตัดกับสระสีขาวสวยงาม ที่น่าเสียดายคือ มันเกิดความเสียหายจากการที่มีคนไปชม และเดินไปในพื้นที่จนทำให้น้ำเสียคุณภาพไป ทำให้สระมีคราบสีดำมาเกาะ เขาเลยต้องกันน้ำให้ใหลเข้าสระ เราเลยเห็นแค่สระแห้งๆเป็นส่วนใหญ่ ว่ากันว่า พระนางครีโอพัตราทรงโปรดปรานที่จะมาแช่น้ำแร่ที่ปราสาทปุยฝ้ายนี้มาก จนมีสระที่พระนางโปรด ตกมาจนถึงปัจจุบัน คุณสมบัติอีกอย่างของบ่อน้ำแร่คือมมีความเชื่อกันว่า สามรถรักษาโรคต่างๆได้ คงมีผู้คนที่หายจากโรคแหละแต่มีผู้คนอีกไม่น้อย ที่ตาย จนส่วนท้ายเมือง มีสุสานเป็นโลงหินวางเรียงรายให้เราได้เห็นกันถึงทุกวันนี้ เย็นวันที่ 12 เราเข้าพักที่ โรงแรม Dedeman Dennizli ซึ่งอยู่ห่างตัวเมืองออกไป




























































22
ท่องเที่ยว / วัยเก๋าเล่าเรื่องเที่ยว ตุรกี ...
กระทู้ล่าสุด โดย Sompong - พฤศจิกายน 25, 2021, 11:56:57 หลังเที่ยง

วัยเก๋าเล่าเรื่องเที่ยว ตุรกี ดินแดนอารยธรรมล้ำลึก ฉากที่3

วัยเก๋าเล่าเรื่องเที่ยว....ตอน..."ตุรกี ดินแดนอารยธรรมล้ำลึก" ฉากที่ 3..ตอนที่1
House of Virgin Mary...มหัศจรรย์นิมิต และดินแดนแห่ง Gladiators.....บ่ายวันที่ 11 หลังทานอาหารเที่ยงแล้ว เรามุ่งหน้าสู่ บ้านของพระแม่ มารี ชื่อเป็นทางการคือ House of Virgin Mary ในช่วงยุคโรมัน ได้มีคำทำนายว่าจะมีเด็ก ที่จะมาสร้างปัญหาใหญ่หลวง และเป็นภัยต่อจักรวรรดิโรมัน ดังนั้นซีซ่าสมัยนั้นจึงสั่งให้จับเด็กมาฆ่าทิ้ง ซึ่งพระแม่มารีได้ให้กำเหนิด พระเยซู และพระองค์ทรงเติบโตมาในช่วงนั้นพอดี ก็เกรงว่าสักวันอาจจะถูกทหารโรมันมาจับตัวพระเยซูไปฆ่าเฉกเช่นเด็กคนอื่นๆ Saint John เลยพาพระนางหลบหนีขึ้นไปบนเขา ไปอยู่ที่บ้านที่ก่อขึ้นด้วยอิฐ และหิน เป็นบ้านหลังเล็กๆหลังหนึ่ง จวบจนสิ้นพระแม่มารีสิ้นชนม์ชีพ แล้วเขารู้ได้อย่างไรว่าที่นี่เป็นบ้านที่พระแม่มารีมาหลบซ่อนตัวอยู่ ถ้าใครเคยศึกษาเรื่องศาสนาคริตส์ จะทราบว่าพระแม่มารีได้ออกเดินทางจากเมืองเยรูซาเร็ม ซึ่งห่างจากที่ที่พบบ้านนี้พอสมควรเลยทีเดียว แม้แผนที่ที่ผมให้ดูในตอนที่1 ยังมองไม่เห็นเมืองเยรูซาเร็มเลย แสดงว่าคนสมัยก่อนช่างอดทนจริงๆถึงเดินทางมาไกลขนาดนี้.....กว่าบ้านหลังนี้จะถูกค้นพบ เวลาก็ล่วงเลยมาพันกว่าปีแล้ว แล้วเขาพบได้อย่างไร??? เหตุเกิดจากนิมิตของแม่ชี คนหนึ่งที่อาศัยอยู่ในเยอรมัน แม่ชีคนนี้ไม่เคยไปไหนเลย ไม่เคยออกนอกประเทศ วันหนึ่งเธอเกิดเห็น นิมิต บ้านของพระแม่มารี และอธิบายได้ชัดเจนถึงลักษณะ และพื้นที่ตั้ง เมือมีการออกสำรวจ ก็มาพบบ้านตามนิมิตนั้น ส่วนถ้าใครข้องใจให้ไปถามแม่ชีคนนี้นะ เธอชื่อ Anne Catherine Emmerich ซี่งเธอมีชีวิตอยู่ในช่วงปี ค.ศ 1774-1824  ถ้าจะไปถามไม่ต้องมาชวนผมนะ....5555

























วัยเก๋าเล่าเรื่องเที่ยว....ตอน..."ตุรกี ดินแดนอารยธรรมล้ำลึก" ฉากที่ 3....ตอนที่2
Ephesus....เราออกจากบ้านพระแม่มารี ก็เล่นเอาบ่ายคล้อยแล้ว เราจะเดินทางไปชมเมืองเก่าแก่ยุคกรีกที่ชื่อว่าเอเฟซุส Ephesus เมืองนี้สร้างอยู่บนเขาแล้วค่อยมีทางเดินลาดลงมา ว่ากันว่าสมัยนั้นลาดไปจนถึงชายฝั่งทะเล Coast of Ionia แต่ตอนที่เราไปชม ผมมองไม่เห็นทะเลนะ จริงๆแล้วทางเข้าเมืองมันอยู่จุดที่ว่าใกล้ทะเล แต่คุณเจี๊ยบ ไกด์ของเราคิดถูกที่พาเราไปเข้าเมืองที่จุดสูงสุดบนเขาแล้วค่อยๆเดินกันลงมา วัยรุ่นเช่นเราต้องเข้าหลังบ้าน ดีที่สุด กรุณาอย่าได้คิดลึก แค่มีแรงลากสังขารกันลงมาก็เมื่อย ไปหมดทั้งตัวแล้ว เมืองนี้เป็นเมืองโบราณของกรีก ต่อมาตกอยู่ภายใต้การปกครองของจักรวรรดิโรมัน เมืองนี้มีอะไรให้ดูเยอะ เราลองจินตนาการว่าเมืองสมัยก่อนก็จะมีกำแพงเมือง แล้วบ้านเรือน โรงมหรสพ วิหาร หอสมุด ห้องอาบน้ำ อัฒจรรย์การแสดงละคร หรือ แสดงการต่อสู้ของเหล่า Gladiator ผู้กล้าก็อยู่ในเมืองนี้เหละ เมืองนี้โด่งดังเพราะ วิหาร อาร์ทีมิส Temple of Artemis ซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ยุคโบราณ ภาษาปะกิดสักหน่อยนะ One of the seven Wonders of the Ancient World ....และที่สำคัญยังมีหอสมุดของ เซลซุส Library of Celsus....พวกผู้ชายสมัยนั้นเขาชอบบอกทางบ้านว่าเขาไปหอสมุดกัน .แล้วทำไมเขาชอบไปหอสมุด เพราะหอนางโลม มันอยู่ตรงข้ามหอสมุดนี่แหละ แล้วทำไมเมืองนี้ ถึงได้ชื่อว่า Ephesus ซึ่งเป็นชื่อลูกของเทพเจ้า เพราะเขาว่ากันว่า วิหาร อาร์ทีมิส ได้ถูกสร้างโดย Ephesus ซึ่งเป็นบุตรชายของเทพแห่งแม่น้ำที่ชื่อว่า Caystrus และชื่อของวิหารนี้มาจากพระนามของ เทพี Artemis ซึ่งคือ Lady of Ephesus แล้วนางเป็นเทพีแห่งความอุดมสมบูรณ์ เพราะมีเต้านม เยอะมาก ชาวเมืองนี้เขาจะบวงสรวงบูชา เทพี อาร์ทีมิส เพื่อความอุดมสมบูรณ์ ของพืชผล ส่วนจะดูว่าอะไรเป็นอะไร ก็ไปชมรูปประกอบเอานะ หรืออยากอ่านเรื่องยาวกว่านี้ก็ไปคุยกับอากู๋ได้.....แล้วอย่าลืมไปบอกนายกว่า อากู๋กับคนไทยเขาเป็นญาติสนิทกัน ท่านจะได้ไม่มาว่าเราได้ว่าไม่เคยคุยกับอากู๋































































23
ท่องเที่ยว / วัยเก๋าเล่าเรื่องเที่ยว ตุรกี ...
กระทู้ล่าสุด โดย Sompong - พฤศจิกายน 25, 2021, 11:34:37 หลังเที่ยง

วัยเก๋าเล่าเรื่องเที่ยว ตุรกี ดินแดนอารยธรรมล้ำลึก ฉากที่2

วัยเก๋าเล่าเรื่องเที่ยว....ตอน..."ตุรกี ดินแดนอารยธรรมล้ำลึก" ฉากที่ 2..ตอนที่1
..ก้าวแรกของการเดินทาง....ทัวร์กลุ่มนี้คับคั่งมากมีถึง 34 คน ก็ถือว่ามีเหลืออีกแค่ที่เดียวก็เต็มคันรถละครับ เราออกเดินทางจากสุวรรณภูมิ ด้วยสายการบิน Turkish Airlines ผมคงไม่ต้องบอกว่าเป็นสายการบินประจำชาติของประเทศไหนนะครับ สายการบินนี้จึงได้พาเราบินตรงสู่นครอิสตันบูล โดยปกติถ้าพูดถึงสายการบินของประเทศแถบตะวันออกกลาง เราก็จะคุ้นเคยกับ Qatar Airways หรือ Emirates Airline สายการบินเหล่านี้ ก็จะบินไปรวมกันที่เมืองหนึ่งของประเทศเขา แล้วมาเปลี่ยนลำและรวมผู้โดยสารที่มีปลายทางที่เดียวกันไปด้วยกัน ที่เราเรียกว่าเมืองที่เป็น Hub ผมคิดเอาว่า Hub  ของ Turkish Airlines ก็คือนครอิสตันบูล นี่เอง......เวลาที่ตุรกีจะช้ากว่าไทย สี่ชั่วโมง มันแปลว่าอะไร ใครไม่เคยสับสนกับเวลาช้ากว่าหรือเร็วกว่า น่าจะเป็นพวกสมองซุกซนนะครับ เพราะผมงง และหลงทุกที เอาว่าโลกกลม แต่ก็ต้องเริ่มต้นนับวันเวลาแรกที่ประเทศไหนสักประเทศ.....ถูกต้องแล้วครับประเทศแห่งแดนอาทิตย์อุทัยก็คือญี่ปุ่นนั่นเอง ไทยเราอยู่ทางตะวันตกของญี่ปุ่น เวลาจะช้ากว่า เช่นเดียวกันตุรกีอยู่ทางตะวันตกขอไทย ก็ช้ากว่าไทย แปลว่าเมื่อเราเช้า เขายังกลางดึกอยู่ คือนับลบไป สี่ชั่วโมง เมื่อเราอยู่เมืองไทยแล้วคำนวนหาเวลาบ้านเขา.....แล้วถ้าเราอยู่บ้านเขา ต้องการรู้เวลาเมืองไทย ต้องบวกอีกสี่ชั่วโมง งงไหม ถ้า งง ให้ทำข้อต่อไป คือให้กลับไปอ่านตั้งแต่ต้นใหม่ เราออกเดินทางจากสุวรรณภูมิ เวลา 09:25 (เวลาประเทศไทย) บินไปถึงนครอิสตันบูลเวลา 15:50 (เวลาตุรกี) ถามว่าตอนนั้นเวลาเมืองไทยเป็นเท่าไหร่ ตอบไม่ได้ให้เลี้ยงข้าว ถ้าตอบได้ให้เลี้ยงขนม....55555 เวลาเมืองไทยคือ 19:50.....เอ๊ะสรุปว่าใช้เวลาบินไปกี่ชั่วโมงครับ???? คือ สิบชั่วโมง ยี่สิบห้านาที เอาว่าตอนบินจริงๆเราถึงเร็วกว่าเวลาของตารางบินเล็กน้อย.....ผมเคยคิดว่า สนามบินสุวรรณภูมิ เป็นสนามบินที่ Runway อยู่ไกลและยาวมว๊าก เครื่องใช้เวลาแท็กซี่จนแทบอั้นฉี่ไม่ไหว อุ๊ต๊ะ สนามบินอิสตันบูล มีเส้นทางแท็กซี่น่าจะไกลกว่าสุวรรณภูมิอีกเคร่าๆน่าจะ 150-160% ของสุวรรณภูมิ ไชโยไม่ต้องบ่นอีกต่อไปว่าเราแท็กซี่ไกลที่สุดในโลก เราลงเครื่องที่อาคารโดยสารระหว่างประเทศ แล้วต้องไปต่อเครื่องที่อาคารโดยสารภายในประเทศ ส่วนสัมภาระเรา Checked Through ผมเคยหลงระเริงกับการ Checked Through เมื่อต่อเครื่องนี่แหละ ข้าพเจ้าขอเตือนท่านว่าให้ดูตารางต่อเครื่องว่าท่านต้องมีเวลาไม่น้อยกว่า สามชั่วโมง มิฉะนั้นท่านอาจจะไปถึงที่หมาย แต่กระเป๋าอาจจะนอนค้างอ้างแรมอยู่สนามบินนะออเจ้า













วัยเก๋าเล่าเรื่องเที่ยว....ตอน..."ตุรกี ดินแดนอารยธรรมล้ำลึก" ฉากที่ 2....ตอนที่2
.....ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ โดนมาแล้ว และให้ระวังสายการบินเจ้า Delay ทั้งหลายที่มีชื่อชั้น อยู่เหนือ Low Cost เล็กน้อย มักจะจอดเครื่องเล่นๆอยู่ที่สนามบินแม้เลยเวลาเดินทางไปเป็นชั่วโมงแล้วก็ตาม อ้าวลืมไปเราไปกับทัวร์นี่หว่า..... ที่อาคารภายในประเทศของสนามบินอิสตันบูล ผมได้ข้อมูลจากเพื่อนว่า มีการแสดงภาพถ่าย อยู่แถวๆนั้น เลยเก็บรูปมาฝาก.....ผมถ่ายภาพ จากภาพถ่ายของตากล้องท่านอื่นแล้วปรับให้ตรง อย่าได้หลงกลว่าเป็นฝีมือผม ถ้าจะถ่ายให้ได้แบบนี้สักยี่สิบ สามสิบภาพ ผมจะต้องตระเวนตุรกี สักสองสามเดือน......5555 ต้องถามสาวจีน ที่อยู่ข้างๆ ที่ชื่อ เจ้าอย่าหวัง....ซะก่อน.ว่าจะปล่อยไปอยู่ตุรกีไหม......คุยเพลินได้เวลาต่อเครื่งไปเมือง Izmir เครื่องออกเวลา 18:00 ถึงปลายทางเวลา 19:20  รับกระเป๋าเสร็จก็ขึ้นบัส มุ่งสู่โรงแรม ทานอาหารเย็นเสร็จก็อาบน้ำอาบท่า แล้วก็นอนแผ่หมดสภาพ......การบินทั้งสองช่วงของสายการบินนี้ นอกจากไวน์แล้วที่เหลือผมคิดถึงสายการบินไทยมว๊าก ความนุ่มนวลของโฮสเต็ท และรสชาดอาหารต่างกันเยอะ เลยภาวนาขออย่าให้สายการบินไทยเจ้งเลย พ่อเจ้าประคูณณณณณณ















วัยเก๋าเล่าเรื่องเที่ยว....ตอน..."ตุรกี ดินแดนอารยธรรมล้ำลึก" ฉากที่ 2....ตอนที่3
วันนี้เป็นวันที่ 11 กันยายน แล้ว เมื่อคืนเรามาถึงโรงแรมก็มืดค่ำแล้ว เลยไม่รู้ว่าโรงแรมเราคือ Wyndham Izmir Ozdilek ตั้งอยู่ริมฝั่งทะเลอีเจี้ยน.... เมือง Izmir นั้นเป็นเมืองใหญ่ประมาณลำดับสาม หรือสี่ของตุรกี อยู่ริมฝั่งช่วงกลางๆของขอบเขตแดนทางตะวันตก......เช้านี้พระอาทิตย์ขึ้นสวยงามมาก ฝากรูปมาให้ชมนะครับ.....เช้านี้หลังทานอาหารเช้าที่โรงแรมแล้วเราต้องเดินทางเลียบชายแดนฝั่งตะวันตกขึ้นไปเมือง เพอร์กานัม (Pergamon) พยายามอ่านให้เสียงภาษาไทยอย่างที่ผมบอก อย่าให้เป็น เพอร์กาม่อนนะ เดี๋ยวคิดว่าอยู่ญี่ปุ่น เราต้องนั่งรถบัสไปสามชั่วโมง เพื่อไปชม วิหารอะโครโปลิส..... เมือง Pergamon อ่านยากไหม แล้วถ้าไม่พอใจ เขาเขียนอีกแบบว่า Bergama จริงๆแล้วคำว่า Acropolis มันเป็นคำผสม จาก Acro แปลว่าสูง Polis แปลว่าเมือง รวมกันคือเมืองที่อยู่บนที่สูง ดังนั้นคำว่า Acropolis ก็เรียกเมืองที่อยู่บนที่สูง ซึ่งจริงๆแล้วไม่ได้มีแค่ที่นี่ มันมีอีกหลายแห่ง เขาว่าที่เจ๋งสุดอยู่ในกรุง Athens ที่นี่ถ้าจะเรียกให้ถูกต้องเรียกว่า Bergama's Acropolis......คงพอนึกออกว่าสมัยก่อนมันมีการทำศึกสงคราม เขาถึงต้องเลือกสร้างเมืองบนชัยภูมิที่มีการโจมตียาก เมืองนี้ว่าสร้างขึ้นในสมัยกรีกโน่น ในเมืองมีพระราชวัง มีหอสมุด มีบ่อเก็บน้ำ มีโรงละคร และปรากฏว่าหอสมุด ถูกนักโบราณคดีชาวเยอรมันยกเป็นชิ้นส่วนไปโชว์อยู่ที่โน่น เรียบร้อยโรงเรียนเยอรมันไป และหอสมุดที่นี่ว่ากันว่า พระนางคลีโอพัตรา ได้นำเอาตำหรับตำราขนกลับไปอียิปต์ แต่ท้ายสุดเมื่อนางแพ้การศึก เมืองถูกเผา หนังตำราต่างๆก็ถูกเผาไปด้วย ส่วนเมืองนี้ปัจจุบันที่เหลือก็ทรุกโทรม เป็นซาก อาจเพราะแผ่นดินไหวด้วย อย่างที่บอกว่าที่นี่ตั้งอยู่บนที่สูง เราจะขึ้นไปต้องใช้กระเช้า.....ใครไปเที่ยวหลายๆที่ที่มีกระเช้าจะ งง กับการเรียกมันเหมือนผม ที่นี่เรียกกระเช้าว่า Cable Car ถ้าคุณไป ญี่ปุ่น หรือ นิวซีแลนด์ Cable Car เขาใช้เรียก ตู้รถรางที่ลากขึ้นทางเอียงๆ ส่วนกระเช้าเขาเรียก Rope Way บางประเทศ เช่นสวิส หนักเข้าไปอีก เรียก Gondola.....เอาสักชื่อก็แล้วกันนะ.......ว่าไปเมืองนี้คงกระพันแทบจะว่า ไม่มีใครตีได้จนยั่งยืนถึงสมัย Eumenes II เป็นชาวกรีก รบกันจนเบื่อเลยทำสนธิสัญญาสงบศึก นับเป็นสนธิสัญญาสงบศึกฉบับแรกของโลกก็ว่าได้ ท้ายสุดเมืองนี้ก็ตกมาอยู่ภายใต้อาณาจักรโรมัน ก่อนที่ล่มสลายไปในที่สุด ตรงนี้ที่เราไปชมจะเป็นเมืองหลวงเก่า ของอาณาจักร Pergamon มีเมือง Pergamon ชื่อเดียวกันเป็นเมืองหลวง ประมาณราว 180-200 ปีก่อนคริสตกาล เอาว่าพอสังเขปนะ ยาวกว่านี้อาจจะมั่ว ไปเปลี่ยนประวัติศาสตร์เขาได้




































































24
ท่องเที่ยว / วัยเก๋าเล่าเรื่องเที่ยว ตุรกี ...
กระทู้ล่าสุด โดย Sompong - พฤศจิกายน 25, 2021, 11:19:42 หลังเที่ยง

วัยเก๋าเล่าเรื่องเที่ยว ตุรกี ดินแดนอารยธรรมล้ำลึก ฉากที่1

ขออนุญาติ เริ่มเล่าถึง ทริปตุรกีนะ น่าจะได้ฤกษ์ แล้ว         วัยเก๋าเล่าเรื่องเที่ยว....ตอน..."ตุรกี ดินแดนอารยธรรมล้ำลึก" ปฐมบท.....เราจะเล่าเรื่องยาวๆ ให้มันสั้นๆ ได้ไง อ้าวลองดูนะ เมื่อ 4000 ปีก่อนคริสตกาล ดินแดนแถบตะวันออกกลาง มีความเจริญมาจนมีอารยธรรมหนึ่งที่ชื่อว่า เมโสโปเตเมีย อยู่ตรงกลางระหว่างแม่น้ำสองสายคือ ไทกริส และยูเครติส ความจริงก็ตามชื่อเขานั่นแหละ คำว่า"เมโส" แปลว่าระหว่างกลาง ส่วน"โปเตเมีย" คือแม่น้ำ มีนครหลวง อยู่ทางใต้ลงไปหน่อย เป็นอาณาจักร บาบิโลเนีย มีนครบาบิโลนเป็นเมืองหลวง เคยมีกษัตริย์ผู้ครองนคร ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้ให้กำเนิดกฎหมายเป็นคนแรกของโลก คือ พระเจ้าฮัมมูราบี เป็นชนเผ่าสุเมเรียน....ดินแดนเมโสโปเตเมีย คือที่ตั้งประเทศอีรัคปัจจุบัน และยังมีดินแดนใกล้ๆที่เก่าแก่ชื่อ อัสซีเรียน คือ ซีเรียปัจจุบัน พื้นที่ที่รุ่งเรื่อง คือแถบเขียวๆ ได้ถูกขนานนามว่า เป็นพื้นที่พระจันทร์เสี้ยว....ไม่แน่ใจว่าด้วยเหตูนี้หรือไม่ ชนมุสลิม ถึงใช้สัญลักษณ์ พระจันทร์เสี้ยว ต่อมาช่วง ประมาณ 510 ก่อนคริสตกาล จักรวรรดิโรมันก็ได้แผ่อิทธิพลจากโรม เข้ามาปกครองในพื้นที่แถบ เอเซียไมเนอร์ แล้วเรียกว่าโรมันตะวันออก หรือ ไบแซนไทม์ พื้นที่แถบนี้โรมันยึด ตะวันออกไปถึงเปอร์เซีย (อิหร่าน) ตะวันตกไปยันถึงอียิปต์ รวมพื้นที่ตรงกลางด้านบนที่เรียกว่า อนาโตเลีย และต่อมาชนเผ่าเติร์กที่เร่ร่อนอยูแถบมองโกล น่าจะเป็นชนเผ่าใกล้เคียงกันกับ เจ็งกีสข่าน และหรือ ชนเผ่าอุยกูร์ในปัจจุบัน ได้แผ่อิทธิพลลงมาจนถึงดินแดนอนาโตเลีย และได้รับอิทธิพลจากศาสนาอิสลาม ราวปี คศ 1453 มีสุลต่านเมห์เหม็ดที่2 แห่งอาณาจักรออตโตมัน ได้ชัยชนะเข้ายึดเมืองหลวงของไบแซนไทม์คือกรุงคอนสแตนติโนเปิ้ลได้ และเปลี่ยนชื่อเป็นอิสลามบูล จะเพี้ยนเป็น อิสตันบูลในปัจจุบัน นี่คือการสิ้นสุดของจักรวรรดิโรมันตะวันออก(ส่วนจักรวรรดิโรมันตะวันตก ศูนย์กลางที่กรุงโรม ได้ล่มสลายไปตั้งแต่ศตวรรษที่ 5) และนี่ถือเป็นต้นกำเนิดของประเทศตุรกีปัจจุบัน ก็มาด้วยประการ ฉะนี้แล



วัยเก๋าเล่าเรื่องเที่ยว....ตอน..."ตุรกี ดินแดนอารยธรรมล้ำลึก" ฉากที่ 1
....ตุรกี ประเทศสองทวีป ดินแดนหลากหลาย อารยธรรม.....ผมเคยได้ยินเรื่องการทิองเที่ยวตุรกี ว่าเป็นดินแดนยอดนิยมของนักท่องเที่ยวประเทศหนึ่ง เมื่อก่อนตอนที่ประเทศนี้ยังมั่งคั่งดูเหมือนการไปท่องเที่ยวที่นี่ มันจะมีราคาค่อนข้างสูงมากมาย ว่ากันถึง แปดหมื่น เก้าหมื่น กันเลยทีเดียว มาวันนี้ค่าเงินลีรา ของตุรกี ตกลงมาถึง 60-70% ว่าไปแม้จะถามไกด์ท้องถิ่นว่าทำไม? ผมก้ยังไม่ได้คำตอบที่สมเหตุสมผลอยู่ดี เอาไว้เล่าให้ฟังทีหลังนะครับ ด้วยเพราะค่าเงินเขาอ่อนลง ราคาทัวร์วันนี้จึงถูกลงมาก อยู่ตั้งแต่ประมาณ สองหมื่นห้า ถึงสี่หมื่น ราคามันขึ้นกับช่วงเวลา Peak หรือไม่ Peak บินตรงหรือไม่ แล้ว การเดินทางในประเทศมีบินกี่ครั้ง เราเลือกซื้อทัวร์ผ่านบริษัทแตงโมทัวร์ เขาบอกว่าเป็นบริษัทในเครือของ Quality Express ที่ถือว่าชื่อชั้นเจ๋งที่สุดในบ้านเราในขณะนี้......แต่ราคาทัวร์ยังไม่รวม Highlight ที่ให้ลูกทัวร์เลือก แน่นอนต้องเสียตังค์เพิ่ม ตามความอยากละครับ......ก่อนอื่นเรามารู้จักประเทศนี้เป็นการส่วนตัวหน่อยดีไหม ประเทศตุรกีเป็นประเทศที่ทางตะวันตกเฉียงเหนือ เป็นส่วนที่อยู่ในทวีปยุโรป ซึ่งถูกแบ่งด้วยทะเล Marmara และช่องแคบ Bosporus เจ้าช่องแคบ Bosporus มันเป็นช่องแคบที่เชื่อมต่อระหว่าง ทะเลดำซึ่งอยู่ด้านเหนือ กับทะเล Marmara และตรงส่วนที่มันต่อกันนี่เองมีเมืองสำคัญที่เราคุ้นชื่อมาก คือ อิสตันบูลตั้งอยู่..... ถัดใต้ลงมาจะเป็นตุรกีที่ตั้งอยู่ในทวีปเอเซีย เนื่องจากเป็นส่วนต่อเป็นแถบยาวๆจากทวีปเอเซีย จากตะวันออกไปตะวันตก ส่วนนี้เลยได้ชื่อว่า Asia Minor

ทางเหนือของประเทศตุรกีติดกับ กรีก บัลกาเรีย ทะเลดำ และประเทศจอร์เจีย ตะวันออกติดกับอิหร่าน ใต้ติดกับอิรัค ซีเรีย และทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ส่วนทางตะวันตกเป็นทะเลอิเจี้ยน เป็นไงครับชื่อประเทศคุ้นเคยกันบ้างแล้วใช่ไหม ยังมีประเทศดังๆจากอารยธรรมโบราณ เช่น โรม(อิตาลี่) อียิปต์ และเยรูซาเร็ม ล้วนมาเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ของตุรกี.....ประเทศตุรกีมีประวัติยาวเป็นหางว่าว ตั้งแต่ก่อนสมัยยุคโรมัน มายุคกรีก ยุคอียิปต์ จนมาถึงยุคเติร์กในปัจจุบัน จริงๆแล้วชาวเติร์ก คือลูกหลานเจงกิสข่าน หรือชนเผ่านักรบมองโกล ที่แผ่อิทธิพลขยายอาณาจักรมาถึงพื้นที่แห่งนี้.....พื้นที่นี้ได้ถูกขนานนามว่า คาบสมุทรอานาโตเลีย.....นั่นเอง!!!!!






25
ท่องเที่ยว / วัยเก๋าเล่าเรื่องเที่ยว ท่องโล...
กระทู้ล่าสุด โดย Sompong - พฤศจิกายน 25, 2021, 08:21:26 ก่อนเที่ยง

วัยเก๋าเล่าเรื่องเที่ยว ท่องโลกกว้าง หลังเกษียณ ฉากที่10

วัยเก๋าเล่าเรื่องเที่ยว....ตอน..."ท่องโลกกว้าง หลังเกษียณ" ฉากที่ 10....(ชุดที่1)
หลังจากเราลงจากเรือ เราก็จับแท็กซี่ตรงไปที่พัก เราจะพักที่ Seattle ห้าคืน แล้วคงจะโบกมืออำลาทริปนี้ ที่พักเราก็ใช้วิธีแลกผ่าน Time Sharing มาเหมือยกัน ผมจำชื่อไม่ได้แล้ว จำได้แค่ว่ามันอยู่ใกล้ๆกับ Seattle University สามารถเดินไปถึงได้ จริงแล้วผมจองห้องสำหรับพักสองคน แต่ทางโรงแรมจัดเราเข้าพัก ห้องที่มีเตียงสองเตียงหย่ายพักได้สี่คน เลยบันเทิงเลยซิครับ....เมือง Seattle เป็นเมืองชายฝั่งตะวันตกอยู่สูงที่สุดของสหรัฐ ที่เหนือขึ้นไป ก็เป็นเมือง Vancouver นั่นเอง.... ที่พักอยู่ที่นี่ ห้าคืนหกวัน
เช้าวันที่ 8 พฤษภาคม 2013 หลังจากทานอาหารเช้าที่โรงแรม เราก็จับแท็กซี่ เข้าเมือง  ตัวเมือง Seattle เป็นเมืองชายฝั่ง ก็จะมีส่วนที่เป็นเนินสูง ลาดเอียงไปทางทะเล ผมว่าเมืองในอเมริกา ส่วนที่เป็น Downtown หรือย่านธุรกิจหลัก ก็ไม่ใหญ่มาก เดินเข้าถนนโน้นออกถนนนี้ สำรวจกันพอได้ ส่วนใหญ่ เมืองในอเมริกาเป็นเมืองเกิดใหม่ เขาจะตัดถนนเป็นบล็อกสี่เหลี่ยมๆ วันแรกก็ซอกแซกไปเรื่อยเปี่อย...เออที่ท่าน้ำมีชิงช้าสวรรค์ ประมาณเดียวกันกับ ที่สิงคโปร์นะ มีร้านรวงแถวท่าน้ำ ก็ได้เก็บภาพมาฝากกัน แต่เราไม่ได้ใช้บริการหรอกครับ...เราได้เข้าไปในตลาดสดของที่นี่ มีอาหารทะเลสดขายด้วย ผมมีโอกาสได้แวะเข้าร้าน Harley Davidson ด้วยครับ ถ้าใครไปอเมริกา แล้วนิยมพวกเสื้อแจ็คเก็ต เสื้อคอกลม ของ Harley แนะนำว่าถ้าเจอร้านลองเข้าไปดู มักจะมีเสื้อผ้าลดราคา แล้วลดกัน 50% เลย อยู่ที่ขนาดอาจจะต้องหากันหน่อย





























วัยเก๋าเล่าเรื่องเที่ยว....ตอน..."ท่องโลกกว้าง หลังเกษียณ" ฉากที่ 10....(ชุดที่2)
.....เช้าวันที่ 9 พฤษภาคม 2013 วันนี้เราใช้ Hop Bus วิ่งชมเมืองออกมาได้ไกลหน่อย ไปที่ตึกพิพิธภัณฑ์รูปร่างประหลาดๆ ชื่อ EMP Museum และใกล้ๆตึกนี้เราเจอหอคอยอีกแล้วครับท่าน และมีร้านอาหารเช่นกันชื่อ Space Needle อยู่ในย่านนี้ที่เขาเรียกว่า Seattle Center และในบริเวณนี้มี Art Museum มีมุมหนึ่ง ชื่อChihuly Garden & Glass ด้านหน้าโชว์ แก้วที่เป่าเป็นต้นไม้สีเหลืองขนาดสูงราวๆ สี่ ห้าเมตรเลย มี Pacific Science Center มีสวนเล็กๆ สนามหญ้า และปติมากรรมล้ำๆ สีแดงแปร๋น อยู่มุมหนึ่งของสนามหญ้า จากตรงนี้มี Monorail วิ่งไปยัง Downtown เราก็จัดไป ลองใช้บริการดู จนมาถึงห้าง Nordstrom ปกติห้างนี้จะอยู่ในเมืองใหญ่ ในอเมริกาและยุโรป ก็ประมาณ เซ็นทรัล บ้านเรานั่นแหละครับ แวะเข้าไปเสียหน่อย เดี๋ยวห้างมันจะเสียใจ ออกมาเจอห้าง Macy ก็ต้องแวะ เพื่อไม่ให้ลักหลั่นกัน
เช้าวันที่ 10 พฤษภาคม 2013 วันนี้หลังอาหารเช้าเราโต๋แต๋ แถวใกล้ๆโรงแรมจนสายๆ เป้าหมายมื้อเที่ยงคือ ไปทานอาหารที่ Space Needle ไอ้ภัตตาคารที่อยู่บนหอสูง ที่ผมเคยเล่าว่าถ้าไปเมืองไหนที่มีก็อย่าพลาด รู้สึกว่าเราจะจองมื้อเย็นไม่ได้ เลยต้องไปทานมื้อเที่ยง วันนี้มีหมอกลงหนา อากาศไม่ค่อยดี ได้เห็นวิวแค่บางจังหวะเท่านั้น ช่วงบ่ายเราไปนั่งเจ้ารถเป็ด คือเป็นรถนำเที่ยวแล้วพาลงน้ำ วิ่งในน้ำเหมือนเรือ วิ่งชมชีวิว ชาวแพที่นี่ มีบ้านลอยน้ำ ก็ตื่นตาตื่นใจดี ได้ชมวิวสองฝั่งแม่น้ำ































ทริปนี้ เหลืออีกชุดเดียว ก็จะปิดทริปแล้วนะครับ ทริปหน้าจะพาไปเที่ยวเมืองระบำหน้าท้อง ประเทศสองทวีป "ตุรกี" หลายคน เคยได้ยิน เรื่องอาณาจักร เมโสโปเตเมีย แม่น้ำไทกริส แม่น้ำยูเครตีส เมืองคอนสแตนติโนเปิ้ล โรมัน กรีก อียิปต์ เปอร์เซีย สงครามครูเสด.....และเจงกีสข่านขอบอกว่ามันมาเกี่ยวกับตุรกีได้อย่างไร.....ท่านใดที่สนใจรอติดตามนะครับ

































วัยเก๋าเล่าเรื่องเที่ยว....ตอน..."ท่องโลกกว้าง หลังเกษียณ" ฉากที่ 10....(ชุดที่3)
....วันที่ 11 พฤษภาคม 2013 วันนี้เราต้องบินจาก Seattle เพื่อไปต่อเครื่องกลับกรุงเทพฯ ที่สนามบิน LA ตามเวลา เครื่องจะออกตอนบ่ายสองโมง กระเป๋าก็เก็บเรียบร้อยตั้งแต่เมื่อคืนก่อน กำลังเปิด iPad ดูโน่นนี่นั่น ก็เลยไปเปิด Email ดู ตายละหวา สายการบินมันดันเลื่อนไฟลต์ เร็วขึ้นมาบินตอน สิบเอ็ดโมงดีนะที่ตอนนั้นยังพอมีเวลา เรารีบเช็คเอ้าท์ แล้วจับแท็กซี่ตรงไปสนามบิน ซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก ราวครึ่งชั่วโมงก็ถึง โอยโล่งอก เช็กอินเสร็จ รอได้เวลาก็บิน ไปถึง LA ก็เย็นมาก ไฟลต์กลับไทยเราออกตอนหัวค่ำ ต้องเหง็ก อยู่สนามบินหลายชั่วโมง แล้วก็เดินทางกลับถึงเมืองไทยโดยสวัสดิภาพ ทริปนี้ใช้เวลาทั้งหมดไปร่วมเดือนหนึ่งพอดี นานที่สุดที่เคย


จบทริปแล้วนะครับ หนึ่งเดือนเต็ม ว่ากันซะคุ้มค่าเครื่องบิน ทริปหน้า จะพาไปเที่ยวตุรกี ผมจะเขียนไปเรื่อยๆ ถ้ายังติดเรื่องโควิด เพราะต้องหางานอดิเรกทำ แก้เบื่อ แล้วก็เก็บเรื่องเล่า ไว้อ่าน เมื่อยามเดินทางไม่ไหวแล้ว.....และทุกทริปหลังใกล้จบ ก็ขอถามสมาชิกในห้อง ถ้าห้องไหนไม่นิยม ผมจะได้ไม่แชร์เข้าไปรบกวน เช่น ทริปตุรกีที่จะแชร์ก็จะลดจากแชร์ให้ 12 ห้อง เหลือ 7 ห้องนะคร๊าบ
26
ท่องเที่ยว / วัยเก๋าเล่าเรื่องเที่ยว ท่องโล...
กระทู้ล่าสุด โดย Sompong - พฤศจิกายน 25, 2021, 08:08:57 ก่อนเที่ยง

วัยเก๋าเล่าเรื่องเที่ยว ท่องโลกกว้าง หลังเกษียณ ฉากที่9

วัยเก๋าเล่าเรื่องเที่ยว....ตอน..."ท่องโลกกว้าง หลังเกษียณ" ฉากที่ 9....(ชุดที่1)
สายๆ ของวันที่ 30 เมษายน 2013 เราเช็คเอ้าท์ ออกจาก Club Intrawest ที่ Sheraton Wall Centre แล้วจับแท็กซี่ไปที่ท่าเทียบเรือ Waterfront ไปขึ้นเรือสำราญ Carnival Miracle เป้าหมายคือ Alaska มันเป็นอีกความไฝ่ฝันว่า สักวันหนึ่งเราจะไปให้ถึง Alaska ให้ได้...เข้าทำนองฝันให้ไกล ไปให้ถึงหรือเปล่าก็ไม่รู้....โดยปกติ เวลาคนบ้านเราจะไปทริปเรือสำราญ เขาจะซื้อทั้ง Package คือรวมที่พักบนฝั่ง ตั๋วเครื่องบิน และค่าเรือ  แต่ผมไม่ได้ทำเช่นนั้น ผมซื้อเรือผ่าน บริษัท Time Sharing ที่ผมเป็นสมาชิก ผมว่ามันได้ราคาดีกว่า....ปกติเรือจะมีห้องให้เลือก สามถึงสี่แบบ คือ ห้องด้านในตัวเรือ ไม่มีหน้าต่าง, ต่อมาก็เป็นห้องมีหน้าต่าง,แล้วก็เป็นห้องมีระเบียง... ผมซื้อเรือได้ราคาหัวละ 1,100 + เหรียญ สำหรับห้องมีระเบียง (Balcony)ในทริปนี้ 7 คืน 8วัน ในเรือมีอาหารให้ สี่มื้อ มีโรงละคร สองโรง มี สระว่ายน้ำ สวนน้ำเล็กๆ มี คาสิโน มีบาร์ มีห้องอาหารปกติ และถ้าใครไม่จุใจ อยากเสียเงินหน่อย ก็มีห้องอาหารหรูไว้บริการ.....แต่ถ้าซื้อ Package ครบจบจากบ้านเรา สำหรับห้องไม่มีหน้าต่าง ผมว่า น่าจะร่วมๆแสนบาท ราคานี้ไม่รวมการซื้อทัวร์สั้นๆ ขึ้นฝั่ง ปกติเรือจะวิ่งตอนกลางคืน ไปถึงเมืองตอนเช้า ผู้โดยสารก็จะซื้อ ทัวร์สั้นๆ ราคาประมาณ 50-100 เหรียญ แล้วแต่เมือง และลักษณะของทัวร์ ตอนเราซื้อทริปเรือ เราจะทราบรายละเอียด ว่าเรือจะจอดที่เมืองไหนบ้าง แต่บางวันก็ไม่จอดนะ เขาระบุว่าเป็น At Sea ทริปนี้มีจอด สามเมืองกับ หนึ่งทอดสมอให้ชมธารน้ำแข็ง ปกติ มีหลายสายการเดินเรือที่จะไปทัวร์ Alaska ส่วนใหญ่ จะออกเดินทางราวต้นเดือนพฤษภา แต่ผมติดที่ต้องมาตั้งแต่ช่วงสงกรานต์ เพราะช่วงต้นทริป ลูกเดินทางมาด้วย แล้วแยกกลับก่อนเพื่อไปทำงาน ส่วนวัยรุ่นสองคนเป็นคนว่างงานทั้งคู่....แต่ถ้ารอออกเดินทางไปกับเรือบริษัทอื่น ก็คงแกร่วรออีกหลายวัน เรือลำนี้ที่ผมเลือก เป็นลำแรกที่ออกเดินทางไป Alaska ของปีนั้น มีทั้งข้อดี ที่ไม่ต้องรอนาน ไม่มีนักท่องเที่ยวเยอะ แต่ข้อเสียก็คือ สถานที่บางแห่งยังไม่เปิดบริการเต็มที่



































วัยเก๋าเล่าเรื่องเที่ยว....ตอน..."ท่องโลกกว้าง หลังเกษียณ" ฉากที่ 9....(ชุดที่2)
ตอนเราจะขึ้นเรือ ก็คล้ายๆเราเช็คอินขึ้นเครื่อง เขาจะตรวจ พาสปอร์ต ตรวจวีซ่า ให้เรา Load กระเป๋าเดินทาง เขาจะเอาไปเก็บไว้ให้เราที่ห้องพักเราเลย ใช้เวลาร่วมๆ สองชั่วโมง....เราเช็ดอินเสร็จก็ไปดูห้องพัก กระเป๋าเดินทางมาเป็นที่เรียบร้อย กำลังตื่นเต้น เรือลำนี้มี 12 ชั้นถึงชั้นดาดฟ้า ต้องสำรวจ แล้วเก็บรูปเป็นที่ระทึก ว่ากันตั้งแต่ในห้อง จนไปยันชั้นดาดฟ้าเลย.....ตกบ่ายแก่ๆเรือก็เริ่มออกเดินทาง ก็ออกไปชมเรือแล่นออกจากอ่าว Vancouver จนลับตา แล้วค่อยมาหาโปรแกรม ไปชมโชว์ที่โรงละคร คืนนี้หลังอาหารเย็น มี คาบาเรโชว์ อาหารเย็นที่บนเรือเลิศหรูอลังการมาก เป็นอาหารที่จัดมาเป็นชุด มีอาหารเรียกน้ำย่อย (Appetizer)  ตามด้วยจานหลัก (Main Dish) แล้วของหวาน มีเมนูให้เลือก มีทั้งชุดปลา ชุดเนื้อ บางวันมีกุ้งมังกร แล้วส่วนจานหลัก ถ้ไม่พอขอเพิ่มได้ด้วย วันไหนมีเมนูกุ้งมังกร ผมต้องเบิ้ลทุกทีเลย ส่วนมื้อเช้า มื้อเที่ยง ก็เป็น บุปเฟ่ต์ ธรรมดาทั่วไป มื้อที่สี่ ไม่เคยไปกินเลย ส่วนใหญ่ไม่ไปดูโชว์ ก็นอนครับ วันที่ 30 เมษา
เรือออกจากท่า Vancouver วันที่ 1 พฤษภา ก็วิ่งอยู่กลางทะเลททั้งวัน หรือที่เขาเรียกว่า At Sea เช้าวันที่ 2 พฤษภา เรือมาจอดที่ท่าเมือง Junean แต่เช้า วันนี้เราจะไปชมเมืองนี้กัน เราไปซื้อ ทัวร์ ชมเมืองจากเคาว์เตอร์ในเรือมาเมื่อวันก่อน ใครสนใจแนะนำว่าไปซื้อแต่เนิ่นๆนะ ไม่งั้นเต็มแล้วจะอด อย่าได้คิดนาน...ที่เมืองนี้เขาพาไปชมศูนย์เลี้ยงปลาแซลมอน เขาบอกว่า มันเพาะพันธุ์ ไม่ได้ ต้องไปเอาลูกปลาในธรรมชาติมาเลี้ยง ส่วนเราก็อย่าได้ไปใส่ใจมาก กินอย่างเดียว จากนั้นก็ขึ้นรถพาตระเวนชม ได้เห็น ธารน้ำแข็ง (Glacier)อีกแล้ว เก็บภาพกันสนุกสนาน ก่อนพาเขาตัวเมือง บ้านเรือนก็เป็นยุคอเมริกันรุ่นบุกเบิกละครับ เดินชมเมืองจนได้เวลา พากลับเรือ.....

































วัยเก๋าเล่าเรื่องเที่ยว....ตอน..."ท่องโลกกว้าง หลังเกษียณ" ฉากที่ 9....(ชุดที่3)
เช้าวันที่ 3 พฤษภา เรือมาจอดเทียบท่าที่เมือง Skagway เราจะขึ้นฝั่งไปทัวร์...เมืองนี้มีรถไฟวิ่งมาถึงท่าเรือเลย น่าจะเป็นเมือท่าขนถ่ายสินค้า ตอนแรก เขาใช้ Minibus พาเราออกไปอีกเมือง ผ่านทะเลสาบ Yukon ให้ได้ชมวิวกัน....เวลามา Alaska ใครๆต้องคิดว่าจะเจอ น้ำแข็งหนาๆ ขาวโพลนไปหมด ภาพที่อยู่ในหัวผม เหมือนที่เราเห็นจากสารคดี ท่องอาร์คติก แต่ช่วงที่เรามามันคือหน้าร้อนของ Alaska เราจะเห็นหิมะบ้างส่วนใหญ่ก็เป็นตามภูเขา และที่ ที่เขาพาเราไป ทะเลสาบยังเป็นน้ำแข็งอยู่ แต่ดูเหมือนจะบางมาก เราไปถึงหมู่บ้านอีกแห่งหนึ่ง เหมือนไปสู่ยุคคาวบอยเลย บ้านเรือนเป็นหลังเล็กๆ เก่าๆ มีทะเลสาบที่ผิวน้ำเป็นหิมะ หนาเตอะ มีถนนเล็กๆสองสามเส้น มีสถานีรถไฟด้วย เราเดินถ่ายภาพกันสนุกสนาน ก่อนที่เขาจะพาเรากลับมาที่เมือง Skagway ระหว่างทางก็จอดที่จุดชมวิว อีกสองสามแห่ง....ก่อนจะมาส่งเราลงที่เมือง เราเดินชมเมืองเล็กๆนี้ ท่าเรือก็อยู่ไม่ไกลเดินไปเรื่อยๆ เห็นอะไรน่าสนใจก็เก็บรูปมาจนถึงเรือ เฮ้ยที่เชิงเขาเตี้ยๆฝั่งตรงข้ามถนนที่เรือจอด มีก้อนหินที่ผู้คนไปเขียนชื่อ หรือคำพูดสั้นๆไว้ พี่ไทยเราไม่พลาด มีจารึกภาษาไทยที่ภาคภูมิใจของบรรพบุรุษเราไว้ ด้วยว่า "สัมฤทธิ์ ที่รัก" 555 แฟนใครตามหาไปแจ้งด่วน....เดินเล่นอยู่พักใหญ่ก็ใกล้เวลาเรือออกแล้ว...เอ้าขึ้นเรือ.....





























วัยเก๋าเล่าเรื่องเที่ยว....ตอน..."ท่องโลกกว้าง หลังเกษียณ" ฉากที่ 9....(ชุดที่4)
....วันที่ 4 พฤษภา เป็นวันที่เรือวิ่ง At Sea อีกวัน จนถึงวันที่ 5 พฤษภา 2013 เรือไม่ได้เทียบท่า แต่มาจอดทอดสมอ อยู่หน้าผาน้ำแข็ง ผานี้จะเป็นผาที่ธารน้ำ(Glacier) แข็งไหลมาถึงมหาสมุทร ไอ้เจ้าธารน้ำแข็งนี้ชื่อMargerie Glacier มันไหลมา 34 กิโลเมตร จากเทือกเขา Mount Root....ช่วงที่มันมาถึงมหาสมุทร เราจะเห็นแท่งน้ำแข็งเป็นลิ่มขนาดใหญ่ยักษ์ตกลงทะเลเป็นระยะ ระยะ เสียงสนั่นหวั่นไหว หน้าผาตรงนี้ สูงเกือบๆสองเท่าของเรือเราทีเดียว อ่าวตรงนี้เขาเรียกว่า Glacier Bay ตอนแรกๆที่เรือไปถึงเขาประกาศเสียงตามสายให้คนไปชมที่ชั้น สี่หรือที่ชั้นดาดฟ้า ผมรีบหยิบกล้องแล้วชวนนางแบบไปทันที โดยไม่รีรอ พอไปถึงชั้น 4 พึ่งจะนึกออกว่า จะมาที่ดาดฟ้านี่ทำไมฟ๊ะ ก็ห้องเราเป็นห้องมีเฉลียง สามารถชมวิวจากห้องได้เลย.....เปิ่นจังนะเรา เลยไปนั่งชมวิวจากในห้อง ถ่ายรูปให้เพลินไปเลย......การถ่ายภาพถ้ามีฉากหลังเป็น หิมะ หรือ Glacier ขาวโพลนและสว่างจ้า โปรดใช้ฝีมือในการปรับตั้งค่ากล้องหน่อย และถ้าต้องมีนางแบบอยู่ด้วย แฟลชเป็นสิ่งจำเป็นอย่างที่สุด หากท่านไม่ระมัดระวัง ท่าอาจจะทำความผิดที่ นางแบบไม่ยอมให้อภัย และกรุณากันเหนียวด้วยการถ่ายด้วยไฟล์ RAW พลาดพลังไปคอมพิวเตอร์ที่บ้านยังช่วยชีวิตได้ ตอนปี 2013 ผมน่าจะเพิ่งเรียนถ่ายภาพ ถ่ายมาด้วยไฟล์ JPEG ต้องขุดกันหลายรูปกว่าจะออกมาพอดูได้.....เรือทอดสมออยู่ที่อ่าวนี้จนเย็น แล้วเรือก็ออกเดินทางต่อ.....



































วัยเก๋าเล่าเรื่องเที่ยว....ตอน..."ท่องโลกกว้าง หลังเกษียณ" ฉากที่ 9....(ชุดที่5)
....เช้าวันที่ 6 พฤษภา 2013 เรือเข้าเทียบท่าที่ Ketchigan เมืองนี้ดูจะใหญ่กว่าทุกเมืองที่เราผ่านมา ฟังว่านอกจากทัวร์แล้ว สิ่งที่ห้างพลาดคือการหาปูอลาสก้า กิน.....เมืองนี้เขาบอกว่าเขาเป็น Alaska's 1st City แสดงว่าเขาต้องอยู่ใกล้แคนาดาที่สุด ก็ท่าจะจริงนะเพราะดูป่าไม่เขียวชอุ่มเลย ทัวร์พาเราไปที่ Totem Bight State Historical Park เป็นอุทยานประวัติศาสตร์ ก็เกี่ยวกับอินเดียนแดง เสา Totem ส่วนคำว่า Bight แปลว่างับ ก็เพราะพื่นที่ตรงนี้ถ้ามองจากด้านบนลงมา จะมีอ่าวตื้นๆรูปร่างเหมือนแผ่นดินถูกงับนั่นเอง ที่นี่ก็จะเป็นป่าๆ เหมือนเคยเป็นที่ตั้งของหมู่บ้านอินเดียนแดง มีเสา Totem ปักไว้เรียงรายไปหมด มีเรือนใหญ่ๆ เป็นเหมือนห้องโถงน่าจะเป็นโรงละครที่แสดงวัฒนธรรม แต่วันที่เราไปไม่มีการแสดง หลังจากอยู่ที่นี่พักใหญ่ ทัวร์ก็พาเราตระเวนไปตามถนนต่างๆในเมือง พร้อมกับอธิบายประวัติที่มาของเมือง แล้วก็เอาเรามาส่งแถวท่าเรือ ใกล้ร้านที่กินปู เราเดินชมเมือง ที่นี่มีพลอยขึ้นชื่อ เป็นพลอยสีน้ำเงิน ใครไปสนใจก็ลองหาดูนะ ในย่านนี้มีร้านขายพลอยอยู่หลายร้าน....และแล้วที่สุดที่ต้องลองคือปูยักษ์ ที่เราเจอกันที่เมืองไทยที่ขายาวๆนั่นแหละ แต่ที่นี่มีให้ลอง สามชนิด มาเลย ของสามชนิด สองชุด ได้ลิ้มรสปูที่ถิ่นมันเลย หลังจากทานเสร็จไม่รู้จะไปไหนดี เมืองก็มีแค่นี้ เลยกลับขึ้นเรือ แดดกำลังดี ก็เก็บรูปนางแบบซะหน่อย เดี๋ยวพรุ่งนี้เราก็จะบอกลากันแล้ว.....







































วัยเก๋าเล่าเรื่องเที่ยว....ตอน..."ท่องโลกกว้าง หลังเกษียณ" ฉากที่ 9....(ชุดที่6)
....เช้าวันที่ 7 พฤษภา 2013 เรือมุ่งหน้าสู่ท่าสุดท้ายคือเมือง Seattle ของสหรัฐอเมริกา ก่อนจะบอกลา เรือ Carnival Miracle มื้อเที่ยงขอพานางแบบไปทานอาหาร ที่ห้องอาหารพิเศษ ไม่ได้ไปทานอาหารบุฟเฟ่ต์ ตาม ปกติ อาหารที่นี่ก็ไม่แพงครับ เราได้เจอน้องพนักงานเสริฟที่เป็นคนไทยอีกคนที่นี่ ที่ห้องอาหารเย็นที่เราไปทานทุกคืนก็มีคนไทยด้วยนะครับ ฟังว่าคนเอเชียที่ทำงานในเรือ มีฟิลิปปินส์ อินโด และไทย นี่แหละครับ ทานเที่ยงเสร็จไม่นานเรือก็เทียบท่า ได้เวลาบอกลา Carnival Miracle กับประสบการณ์ อีกหนึ่งที่สุด ของการท่องเที่ยวที่ประทับใจ....

















27
ท่องเที่ยว / วัยเก๋าเล่าเรื่องเที่ยว ท่องโล...
กระทู้ล่าสุด โดย Sompong - พฤศจิกายน 24, 2021, 11:12:01 หลังเที่ยง

วัยเก๋าเล่าเรื่องเที่ยว ท่องโลกกว้าง หลังเกษียณ ฉากที่8

วัยเก๋าเล่าเรื่องเที่ยว....ตอน..."ท่องโลกกว้าง หลังเกษียณ" ฉากที่ 8....วันนี้วันที่ 25 เมษายน 2013 เราจะบินจาก Miami ซึ่งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ ของสหรัฐอเมริกา ทแยง ไปทาง ตะวันตกเฉียงเหนือ ของอเมริกา ที่เมือง Vancouver ประเทศ Canada เมืองนี้ อยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ หรือจะพูดว่าใต้สุดของ Canada อยู่เหนือเมือง Seattle ของสหรัฐอเมริกา ระยะเวลาบินแปดชั่วโมงครึ่ง เครื่องต้องลงจอดระหว่างทางหนึ่งครั้ง ในขณะที่เวลาต่างกันอยู่ สาม ชั่วโมง คือ ถ้าเวลาที่ไมอามี่เป็นเวลา 9:00 น. เวลาที่ Vancouverจะเป็น 6:00 น. จะไปที่นี่ทำไม??? ขออุบไว้ก่อนนะ ค่อยมาเฉลย แน่นอนถ้าเข้าประเทศ คานาดา ก็ต้องขอวีซ่า เข้าคานาดามาด้วย อีกเรื่องที่อยากแนะนำ ถ้าใครจะเข้าไปเที่ยวคานาดา กรุณา แลกเงินเหรียญคานาดามาด้วย อย่าได้เอา เงินเหรียญสหรัฐไปแลกที่โน่น หาที่แลกยาก บางแบ้งค์ไม่รับแลก หรือรับก็ต้องชี้แจงกันนัว แถมปกติอัตราแลกเปลี่ยน ของเหรียญคานาดา ถูกกว่า เงินเหรียญสหรัฐ แต่พอไปแลกที่คานาดา บางวันมันปรับราคาเท่ากันเลย เจอมาแล้ว มึนนนน ไปถึง Vancouver ก็ร่วมสี่โมงกว่า ห้าโมงเย็น ผมจองที่พักไว้ที่ Club Intrawest โดยจองผ่าน Member Club ที่ผมเป็นสมาชิก ผมพิมพ์เอกสารใบจอง แต่ดันเก็บไว้ในกระเป๋าใหญ่ พอลงเครื่องก็ขี้เกียจเปิดกระเป๋า  หาที่อยู่ใน Net ก็ได้ฟ๊ะ จับแท็กซี่ได้ก็ตรงไป ตามที่อยู่ที่ได้มาจาก Net.....พอไปถึงถนน ผมมองหาตึกโรงแรม จำได้ว่ามันคุยไว้ในเว็ป เป็นตึกสูงๆราวสามสิบกว่าชั้น....5555แถวนี้ไม่มีเลย สักตึก ให้แท็กซี่วนหาก็ไม่เจอ ก็เลยให้เขาจอดให้ลงข้างถนน แล้วให้สาวน้อยของผมยืนเฝ้ากระเป๋า ผมก็เดินหาตามเลขที่บ้านที่ได้มา....เจอแล้วตึกไม่กี่ชั้น มี รปภ นั่งเอกขเนก ดูไม่เหมือนโรงแรมเอาซะเลย เอาแล้วเราถูกเทแน่ๆเลยตอนนี้ก็เกือบ หกโมงเย็น....ผมเลยเข้าไปถาม รปภ ว่า รู้ไหมว่า Reception ของที่พักของ Club Intrawest อยู่ส่วนไหนของตึกนี้ คุยกันอยู่พักหนึ่ง ได้คำเฉลย คือ ตึกนี้เป็นอาคารสำนักงาน ตอนนี้พนักงานเขาเลิกงานกันไปแล้ว ส่วนที่พัก อยู่ที่โรงแรม Sheraton อยู่ในเมืองละครับ ผมรีบเดินกลับมาหาคุณภรรยาคิดว่าคงขี้มูกโป่งไปแล้ว.....พอเธอเห็นหน้าผม กลับแซวมาทันทีว่า อูหู หน้าซีดเชียว....สรุปว่าต้องจับแท็กซี่ย้อนไปที่ โรงแรม Sheraton (ชื่อเต็มๆคือ Sheraton Vancouver Wall Centre) คือไอ้เจ้า Club นี้เช่าที่ สามชั้นบนสุดของโรงแรม มาทำห้องพักให้สมาชิก เอาว่าได้ เช็คอิน เรียบร้อย ห้องนอนส่องวิวอ่าว สวยงาม พระอาทิตย์กำลังจะตกพอดี...





























ช่วงที่เราไปเป็นช่วงหน้าร้อน ดอกไม้กำลังออกดอกเต็มเมืองไปหมด โดยเฉพาะดอกทิวลิป หลังอาหารเช้า ในวันรุ่งขึ้น เรากะเดินสำรวจเมือง โดยจะพากันเดินไปทางท่าเทียบเรือ เรียกให้เท่ห์คือ  Waterfront เขาปลูกดอกไม้ โดยเฉพาะทิวลิปไว้ หน้าอาคาร หรือตรงไหนที่พอจะมีสวน และมันกำลังออกดอกสะพรั่งเลย เดินชมไปถ่ายภาพไป มันก็ไกลนะ แต่ไม่รู้เดินได้อย่างไร จนไปถึงท่าเทียบเรือ มีปฏิมากรรมล้ำๆให้ดูอยู่บ้าง มีรูปเหมือนเข็มสีน้ำเงิน เมืองนี้คงมี เรื่องราวอะไรเกี่ยวกับเข็มแหงๆเลย....มีเรือรบเรือดำน้ำดำทะมึนจอดอยู่ที่ท่าเรือ เดินไปอีกหน่อยเจอกับสนามบินน้ำ มีเครื่องบินจอดอยู่หลายลำ เห็นว่ามีบริการบินท่องเที่ยว เราได้มีโอกาสลงไปหาอะไรกินที่ Food Court ที่ Waterfront....เดินไปชมดอกทิวลิป หลากสี หลากพันธุ์ และบางพันธุ์มีรูปดอกแปลกตาไปจากที่เราคุ้นเคย ตะลอนกันจนเย็น ช่วงขาเดินกลับเกือบถึงโรงแรม มีร้านขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ขอแวะเข้าไปสักหน่อย....ปกติเราจะคุ้นเคยกับไวน์แดง ไวน์ขาว บางคนก็เป็นคอเฉพาะหน่อยก็จะ ไปเลือกแชมเปญ หรือไม่ก็ Sparkling Wine.....มีใครเป็นแฟนไวน์ หวานๆ หอมๆบ้างไหมครับ? แคนาดามีชื่อเรื่องไวน์หวานหอม เขาเรียกว่า Ice Wine ที่ได้ชื่อนี้เพราะบังเอิญ ไอ้เจ้าคนเยอรมันคนหนึ่ง มันซุกซน ไปเก็บองุ่นช่วงหน้าหนาวที่มีหิมะตกหนัก มาทำไวน์ แล้วก็พบว่าองุ่นช่วงนั้นหวานมาก พอมาทำก็หลงใหลในรสชาติ แล้วอีตาคนนี้ก็ถึงกับย้ายบ้านไปทำไร่องุ่นเพื่อทำไวน์ชนิดนี้ที่แคนาดาซะเลย เพราะที่นี่คงหนาวกว่าเยอรมันมั้ง หมอนี่ชื่อ Karl Kaiser เขามาทำไวน์ชื่อกระฉ่อน คือ Inniskillin มันจะเป็นขวดเล็กๆเรียวยาวๆ ขวดหนึ่งมีราว 200 ซีซี  ราคาตั้งแต่ 60-70 เหรียญ ไปบีนร้อยเหรียญ แล้วแต่พันธุ์องุ่นครับ ที่เมืองไทย ด้วยภาษี 200% ก็ต้องมีหกเจ็ด พันไปถึงเป็นหมื่นบาทละครับ  ไปถึงแหล่งต้นตำหรับอย่างนี้ต้องจัดหน่อย ได้มาสองขวด สบายใจไทย์แลนด์....ถ้าใครไปแคนาดา แนะนำว่าอย่าพลาดนะครับ ผมนี่หลงหัวปักหัวปำเลย.....ไวน์นะครับ ไวน์จริงๆ







































ยังมีภาพของชุด นี้อีกหน่อยครับ

























วัยเก๋าเล่าเรื่องเที่ยว....ตอน..."ท่องโลกกว้าง หลังเกษียณ" ฉากที่ 8....(ชุดที่3)
เช้าวันถัดมา วันนี้เราใช้  Hop Bus ตะเวนแทน รถบัสพาเราออกนอกใจกลางตัวเมือง ไปในแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยม จุดต่างๆ แต่วันนี้อากาศปิด แถมมีฝนปรอยๆ คงลงถ่ายรูปยากหน่อย เราผ่านหน้า พิพิธภัณฑ์ Museum of Vancouver (MOV) แม้ว่าผมเป็นแฟนพิพิธภัณฑ์ แต่คราวนี้ รักจริงหวังแต่งมาไกล เวลาน้อย เห็นทีขอเก็บแค่รูปด้านหน้าเป็นที่ระทึกก็พอ....ถ้าใครมา Vancouver จุดหนึ่งที่ต้องมีรูปคือ นาฬิกาไอน้ำ (The Gastown Steam Clock) ประมาณว่า นาฬิกาไอน้ำมีแค่ สองเรือน ในโลกใบนี้คือ ที่นี่และที่ฮ็อกไกโดของญี่ปุ่น มันตั้งอยู่บนฟุตบาต แถบย่าน Gastown ใกล้ๆกับ Waterfront ที่เรามาเมื่อวาน แถวนี้ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของใจกลางเมืองนี้ด้วยนะครับ จากนั้นรถบัส พาเราไปที่  Stanley Park  ซึ่งตั้งอยู่ที่แหลม ฝั่งตรงข้ามท่าเทียบเรือ  Waterfront.....ที่นี่มีจุดน่าสนใจหลายจุด จุดแรก เป็นกลุ่ม Totem Pole ก่อนจะไปไกล มารู้จักกับไอ้เจ้า Totem Pole  มันคืออะไรหว่า....มันคือเสาไม้เดี่ยวแกะสลักเป็นรูปหน้าคน หรือรูปนก ทาสีฉูดฉาดก็มี ไม่ทาสีก็มี เป็นของชนเผ่าอินเดียแดง เป็นสื่อเพื่อบอกว่ากระโจมนี้เป็นตระกูลไหน วันนี้ ฝนไม่เป็นใจคงเก็บรูปไม่ได้มากมาย ตรงสวนสาธารณะแห่งนี้ มีปติมากรรม อีกหลายอัน เช่น รูปนักว่ายน้ำสาวในชุด Wetsuit นั่งบนก้อนหิน ประมาณ นางเงือกสาวที่สงขลา หรือ เงือกสาว แถวสแกนดิเนเวีย นั่นแหละ มีปติมากรรม Harry Jerome นักวิ่งโอเล็มปิก กำลังวิ่ง และมุมหนึ่งเราจะเห็นสะพานแขวน  Lion Gate Bridge วิ่งข้ามไปอีกฝั่ง ให้วิวสวยไปอีกแบบ แล้วมีปติมากรรม เอาแท่งหินมาวางซ้อนกันคล้ายรูปคน ชื่อ Inukshuk ประมาณว่าเป็น Landmark ของสวนสาธารณะนี้เลยทีเดียว
เราออกจากสวน Stanley ขึ้น Hop Bus ต่อไปยัง Granville Island เป็นท่าจอดเรือ ยอร์ช เรือเล็ก เรือเช่า ท่องเที่ยว ที่นี่ผสมผสานกับตลาด ขายอาหาร ขายผลไม้ มีการทำสิ่งละอันพรรณละน้อย ก็เดินเพลินดีนะครับ เดินกันจนเย็นแล้วเราก็กลับมาย่าน Gastown เป้าหมายคือไปทานอาหารเย็น บนภัตตาคารลอยฟ้า Vancouver Lookout Tower ถ้าไปเมืองไหนที่มี Tower ปกติเขาจะเก็บค่าขึ้น ที่นี่ก็เช่นกัน ถ้าจะขึ้นไปชมวิว ต้องซื้อตั๋ว ในราคา 12 +/- ยูโร  ผมแนะนำให้ ไปทานอาหารที่นี่ซะเลย เพิ่มเงินอีกนิดหน่อย ผมเป็นแฟนพันธ์แท้ของ Tower ไปเมืองไหนถ้ามี Tower ขอจัดโปรแกรม ไปทานเย็นที่ Tower ซะเลย เท่าที่ผมใช้บริการมา อาหารต่อหัวน่าจะราวๆ 35-50 ดอลล่าร์ ครับ พอเป็นแขกของภัตตาคารก็ไม่ต้องซื้อตั๋ว แต่....ควรต้องโทรจองล่วงหน้า เล่นเดินดุ่ยๆเข้าไป อาจเต็มได้นะครับ เวลาที่เหมาะคือ ขึ้นไปก่อนมืด แล้วทานอาหารจนมืด ก็จะได้ชมแสงสีตอนกลางคืน ภัตตาคารแบบนี้ส่วนใหญ่ ส่วนที่นั่งทานอาหารมักจะหมุนช้าๆได้รอบตัว คือชมวิวได้ทุกมุมเลย...ดีไหมครับ ต้องดีแน่นอน ลองชมภาพอาหารดูนะ น่าทานมว๊าก ขอบอก.....





































วัยเก๋าเล่าเรื่องเที่ยว....ตอน..."ท่องโลกกว้าง หลังเกษียณ" ฉากที่ 8...(ชุดที่4)
เช้าวันต่อมา เราใช้ Hop Bus อีกวัน วันนี้เราไป ที่ Stanley Park  อีก แต่เป็นมุมที่ชื่อ  The Rose Garden แต่ช่วงนี้มีแต่ดอก ทิวลิป ไม่มีดอกกุหลาบให้เห็นเลย ที่นี่มีบ้านเก่าๆอยู่หลังหนึ่ง ดอกทิวลิปกำลังเบ่งบานสวยงามมาก เลยเก็บรูปมาอวดกันซะบานเบอะ ออกจาก Rose Garden  ขอแวะกลับไปเก็บภาพที่ Totem Pole เพราวันก่อนฝนตกมาพรำๆ เลยไม่ได้ถ่ายรูปมาเลย วันนี้แดดเป็นใจ...อ้าวเสาไหน บรรพบุรุษใครไปตามหากันเองนะ
วันต่อมาวันนี้เราไปชมสวน ซุน ยัด เซ็น ที่นี่แน่นอนประมาณว่า ย้อนไปประมาณหนังจีนโบราณ มีสวนไม้พุ่มเป็นส่วนใหญ่ และมีศาลาจีน มีสระน้ำ แน่นอนมีต้นหลิวเป็นเอกลักษณ์ วันนี้สบายๆ เบาๆ บ่ายๆก็กลับไปเก็บรูปหน้าโรงแรม พรุ่งนี้เราต้อง เช็คเอ้าท์  เพื่อไป....ที่ที่เราอุบไว้ตั้งแต่วันที่เรามาถึง
และแล้วเช้าวันที่ 30 เมษายน 2013 เป็นวันที่เราต้องบอกลา Club Intrawest หลังอาหารเช้ายังพอมีเวลา เราเลยขึ้นไปสำรวจ สำนักงาน ของ Intrawest มีมุมให้ถ่ายรูป หลายมุม ก่อน จะกลับมาเช็คเอาท์ จับแท็กซี่ ไป Waterfront.....ไปท่าเรือทำไมนะหรือ???? ลองทายดูครับ....แล้วเจอกันที่ท่าเรือนะครับ!!!!


































28
ท่องเที่ยว / วัยเก๋าเล่าเรื่องเที่ยว ท่องโล...
กระทู้ล่าสุด โดย Sompong - พฤศจิกายน 24, 2021, 10:31:37 หลังเที่ยง

วัยเก๋าเล่าเรื่องเที่ยว ท่องโลกกว้าง หลังเกษียณ ฉากที่7

วัยเก๋าเล่าเรื่องเที่ยว....ตอน..."ท่องโลกกว้าง หลังเกษียณ" ฉากที่ 7..(ชุดที่1)
..และแล้วก็ได้เวลา ลา Disney World และ Orlando เมืองถัดจากนี้คือ Miami เราได้ยินเมืองชายหาดชื่อกระฉ่อนโลกแห่งนี้มานาน จนมีความรู้สึกว่าจะต้องมาเมืองนี้สักครั้งในชีวิต....ตอนนี้เพื่อนร่วมทริป ต้องแยกย้ายกันไป เหลือวัยรุ่นสองคนตะลุยต่อกันอีกสองสัปดาห์เศษๆ....ผมจองรถบัส ไว้ และต้องไปขึ้นที่ตลาดแห่งหนึ่ง อ้าวนี่ก็ได้เวลาสิบโมงเช้า ยังไม่เห็นที่คิวรถจะมีรถบัสสักคันเลย เอาแล้ว มีเสียวแน่ๆ รอได้ประมาณสิบนาที มีรถมาแล้ว อ้าวไหนว่าบัส มันคือ มินิบัสนี่หว่า...มินิบัสที่นี่ ขนาดใหญ่กว่ารถตู้บ้านเรา บ้านเราไม่มีใช้เลยอธิบายไม่ถูก....จากที่ Orlandoเราต้องนั่งไปอีก 245 ไมล์ จึงจะถึง Miamiใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง 45 นาที ถึงที่พักก็บ่ายๆละครับ ที่พักผมจองไว้ใกล้ชายหาดชนิดเดินประมาณ ร้อยเมตรก็ถึงหาดเลยครับ จองผ่านเว็ปที่ให้จองที่พักนั่นแหละครับ ราคาก็ถูกจนผมประหลาดใจ....พอไปถึงความประหลาดใจก็ได้เฉลย โรงแรมเป็นตึกสามชั้นเก่ามาก แล้วแอร์ ก็ไม่ทำงาน ขอเปลี่ยนห้อง อีกห้องแอร์ก็ไม่ทำงานเหมือนกัน ดีที่อากาศไม่ร้อนมากมาย ก็ขออยู่ชั้นสองเปิดหน้าต่างรับลมกันไป...



































วัยเก๋าเล่าเรื่องเที่ยว....ตอน..."ท่องโลกกว้าง หลังเกษียณ" ฉากที่ 7....(ชุดที่ 2)
เรามาถึงที่นี่บ่ายวันที่ 22 เมษายน 2013 ก็ได้โอกาสไปเดินชายหาด และสำรวจรอบๆโรงแรม ได้ไปหาเสบียง กลับมาทานที่ห้อง เราจะพักที่นี่ สามคืน.....เช้าวันรุ่งขึ้น เราได้เวลา ไปใช้ Hop Bus ที่เราจองมาจากเมืองไทย เราเล็งป้ายหยุดรถไว้ตั้งแต่ วันก่อนแล้ว..... รถจะวิ่งเข้าไป Downtown แล้ววนมาวิ่งรอบถนนหน้าหาด ในเมืองก็มีร้านรวงเหมือนเมืองท่องเที่ยวทั่วไป เราก็ลงรถ Hop Bus เดินตะลอนเก็บรูปกันไป แล้วกลับมาโรงแรม  เราซื้อ Hop Bus ไว้สองวัน วันแรก ตะลุยในเมือง แล้วเล็งว่า วันรุ่งขึ้นจะไปเดินส่วนไหนของหาด....วันแรกกลับมา แอร์ ที่โรงแรมบอกว่าจะมีช่างมาซ่อม มันยังเสียเหมือนเดิม คืนนี้ก็คง เป็นแอร์หน้าต่างต่อไป....เช้าวันรุ่งขึ้นหลังอาหารเช้า เราก็ไปขึ้น Hop Bus แล้วได้แวะตามจุดสนใจที่ชายหาด ร่มของเขาจะเป็นสีเดียวไม่เป็นสีรุ้งเหมือนบ้านเรา ถ้าถามผม ผมว่า หาดบ้านเราก็ดูดีพอๆกัน แต่น้ำทะเลเขาใส เป็นสีเขียวมรกตเลย...555 รู้นะว่าจะถามอะไร ก็ดูจากหนังหลายๆเรื่อง มีสาวๆหุ่นดีมาเล่นน้ำบ้าง มานอนอาบแดดบ้าง ของจริงนะหรือ ห่างไกลมาก หาสาวหุ่นดี ใส่บิกินี่ ไม่มีเลยสักคน นี่ถ้าไม่เกรงใจ จะให้นางแบบที่ไปด้วย ใส่บิกินี ไปเดินโชว์หุ่นซะเลย จะได้รู้ว่าเมืองไทยทำไมเพลง 60 ยังแจ๋ว ก็ดังกึกก้อง..... เราตะลอนชมชายหาดกันพอเหนื่อย ก็เริ่มได้เวลาเย็น คงต้องกลับโรงแรมเก็บสมบัติ พรุ่งนี้นัดรถมารับตอนตีสี่ไปสนามบิน ไปไหนต่อนะหรือ???
รอตอนต่อไปนะ





















29
ท่องเที่ยว / วัยเก๋าเล่าเรื่องเที่ยว ท่องโล...
กระทู้ล่าสุด โดย Sompong - พฤศจิกายน 24, 2021, 10:21:44 หลังเที่ยง

วัยเก๋าเล่าเรื่องเที่ยว ท่องโลกกว้าง หลังเกษียณ ฉากที่6

วัยเก๋าเล่าเรื่องเที่ยว....ตอน..."ท่องโลกกว้าง หลังเกษียณ" ฉากที่ 6....เราตะลุยมา สาม Theme Park กับ Disney Downtown ยังเหลือ อีกหนึ่ง Theme Park Animal Kingdom!! วันนี้วันที่ 20 เมษายน 2013 ได้เวลาจบที่สวนสนุกท้ายสุดที่เป็นอาณาจักรสัตว์ แน่นอน ที่สุดของมันคือ สวนสัตว์ นั่นเอง แต่ขึ้นชื่อว่า Walt Disney หรือจะมีแค่สวนสัตว์???? มีโรงละคร ตอนที่เราไป เขาแสดงเรื่อง Nemo เจ้าปลาการ์ตูน ที่เวลาเราไปดำน้ำ ถ้าเจอเจ้าปลาการ์ตูนนี่ ก็ดีใจราวถูกหวยเลย จริงๆแล้วการแสดงนี้น่าจะเหมาะกับเด็ก...แต่วันนี้ทุกคนขอเป็นเด็ก.....มีภูเขาไฟกับ Roller Coaster ด้วย....ที่นี่มีส่วนหนึ่งที่เขาทำเป็นสวนป่าฝน แถบบ้านเรา เขาได้จำลอง บ้านเรือน แถบอาเซียนเรา ไว้หลายหลัง.....เดินชมไปมาพักใหญ่ก็ได้เวลาไปชมพาเรด.... โชว์ที่นี่หนักไปทางซาฟารี  มีสัตว์ต่างๆที่เป็นดาราของหนัง Walt Disney มาเดินพาเรดกันมากมาย พาเรดจบ ได้เวลาไปชมสวนสัตว์เปิด ต้องนั่งรถขับพาเราลดเลี้ยวไปชมจุด ชมสัตว์ต่างๆ ส่วนใหญ่ เป็นสัตว์ที่เป็นพวกซาฟารี ที่มาจาก อ๊าฟริกา  ทั้งชีต้าร์ สิงโต ยีร๊าฟ ไอ้เข้ ฮิปโป ช้าง หมูป่า นก.....จนบ่ายแก่ๆ ดูว่าจะครบจบกระบวนความ ยังพอมีเวลา เลยขอกลับไประลึกความหลัง ของ Resort  ที่เราเคยมาพักตอนปี 2010 ชื่อ Old Key West Resort ไปที่นี่เรานั่งเรือ เอ้อระเหย เพราะมันขับมาเรื่อยๆ ออกจาก Animal Kingdom มาที่นี่ เรือพวกนี้ก็บริการฟรี นะครับ...ก็ ได้มาเก็บรูปที่ระทึก ก่อนรอรถเมล์กลับไปที่สถานีชุมทางรถเมล์เพื่อ ต่อแท็กซี่กลับโรงแรม







































วัยเก๋าเล่าเรื่องเที่ยว....ตอน..."ท่องโลกกว้าง หลังเกษียณ" ฉากที่ 6....(ต่อ) เช้าวันที่ 21 เมษายน 2013 เราได้โอกาสละลายทรัพย์ จับแท็กซี่ ตรงไป Premium Outlet Orlando ประมาณคล้าย Premier Outlet ที่บ้านเรา แต่มีของ Brand Name เยอะกว่า แถมลดราคาอย่างห้าวหาญ ชวนให้หลงไหลซื้อไม่ยั้ง น้องที่ไปด้วยถึงกับต้องถอยกระเป๋าเดินทางใบโตมาอีกไป....ก่อนจบที่ Orlando มีข้อแนะนำที่ขอเอามาฝากกันจากประสบการณ์ที่เจอมานะครับ....ข้อแรก เวลาเราเดินทาง โดยการบินสายการบินภายในประเทศ เวลาซื้อตั๋วให้ดูว่า เขารวมให้เรา Load กระเป๋าได้กี่ใบ น้ำหนักเท่าไหร่ อย่าเห็นราคาถูกแล้วลุยเลย บางสายการบินไม่รวมน้ำหนักเลย ดีไม่ดี พอซื้อน้ำหนัก แพงกว่าอีก แต่ภายในประเทศส่วนใหญ่ให้ Load ได้ 1 ใบ น้ำหนัก 50 ปอนด์ หรือใช้หน่วย กก ก็มักจะเป็น  30 กิโล ก็ต้องดูนะว่า Baggage Policy ของAirline นั้นใช้หน่วยวัดไหน แต่สำหรับ สายการบินระหว่างประเทศ มักจะ ให้ Load ได้ 2 ใบ ใบละ 30 กิโล  ผมใช้คำว่า มักจะ เพราะสมัยนี้สายการบินแข่งขันกันมาก อาจจะบอกไม่ค่อยชัด เดี๋ยวต้องซื้อน้ำหนักขึ้นมาจะเสียรู้เขานะ .....ข้อที่สอง กรุณาจองซื้อตั๋วแต่เนิ่นๆ การออกแบบทริปควรมีการจองต่างๆไว้ 4-6 เดือนล่วงหน้า  อย่ามาจองใกล้เวลาเดินทาง เพราะบางทีตั๋วแพงขึ้นเป็นเท่าตัว ข้อที่สาม ให้หมั่นตรวจดู Email ทุกวันโดยเฉพาะวันที่จะเดินทาง บางทีสายการบินภายในประเทศมีการเลื่อนเวลาเดินทาง ถ้ามันเลื่อนเร็วขึ้น เรามีสิทธิ์ ตก Flight ได้.... ข้อที่สี่ เวลาใช้บัตรเครดิต ระวังๆๆๆ  มันจะอ่านโค๊ต บัตรเราแล้วเอาไปใช้ ต้องยืนเฝ้าเวลามันรูด แบบเห็นๆ น้องที่ไปด้วย โดนบริษัทเจ้าของบัตร เรียกเก็บเงิน เป็นการซื้อของจากอีกเมืองที่เราไม่ได้ไปเลย ดีที่เธอเป็นทนายหย่าย บริษัทเจ้าของบัตร เลยต้องถอย....จบจาก Orlando ได้เวลาแยกย้าย ลูกสาว ลูกเขย กับ น้องสาว ต้องเดินทางกลับไปทำงาน อยู่นานกว่านี้กลัวเขาขึ้นเงินเดือนให้ เพื่อนอีกคน จะแวะไปหาเพื่อนที่ New York......ส่วนวัยรุ่น คือ ผมกับภรรยา อยู่ต่ออีก สองสัปดาห์ กะให้คุ้มค่าเครื่องบิน...จะไปไหนต่อ รอติดตามนะครับ.....

30
ท่องเที่ยว / วัยเก๋าเล่าเรื่องเที่ยว ท่องโล...
กระทู้ล่าสุด โดย Sompong - พฤศจิกายน 24, 2021, 10:15:58 หลังเที่ยง

วัยเก๋าเล่าเรื่องเที่ยว ท่องโลกกว้าง หลังเกษียณ ฉากที่5

วัยเก๋าเล่าเรื่องเที่ยว....ตอน..."ท่องโลกกว้าง หลังเกษียณ" ฉากที่ 5....ชุดที่1...วันนี้เราจะมาท่อง Theme Park ที่สาม  ของ Disney World...... Magic Kingdom อาณาจักรแห่งเวทยมนต์ ถ้าใครมา Disney World แล้วมีเวลาจำกัด อาจต้องตัดบาง Theme Park ออก ขอบอกว่า จะตัด Park ไหนก็พอได้ แต่ห้ามตัด Park นี้เด็ดขาดครับ เพราะ Magic Kingdom เปรียบเสมือน Signature ของ Disney World ก็ว่าได้.... วันนี้วันที่ 19 เมษายน 2013 .....ถ้าผมจำไม่ผิด การเดินทางจาก สถานีชุมทางรถมาที่ Magic Kingdom เป็น Park เดียวที่ใช้ รถไฟ ไม่ได้ใช้รถบัสเหมือน Park อื่นๆ น่าจะเป็นเพราะ ผู้เข้าชมที่นี่มีเยอะมาก คงจะมีอะไรดีๆแน่เลย.....จากทางเข้าเราจะเห็น ปราสาท ที่เป็นสัญลักษณ์ ที่เปิดเป็นโลโก้ของหนังของ Walt Disney ทุกๆเรื่อง มีหลายคนให้ความเห็นว่า ปราสาทนี้เลียนแบบมาจาก ปราสาท นอยชวานชไตน์ Neuschwanstein Castle แถวแคว้น บาวาเรียของ เยอรมันนี.... ตอนที่เราเดินตามถนนหลักไปที่ปราสาท ก็จะมีร้านรวงขายของที่ระลึก มีมุมเครื่องเล่น ก็เป็นเช่นสวนสนุกทั่วไป แต่ที่เด็ดช๊อตแรกของที่นี่เริ่มที่ Day Parade อยู่บนเส้นทางตั้งแต่ถนนหลังปราสาท แล้วจะเดินเลยไปถนนหลักหน้าปราสาท...คนมารอกันแน่นสองข้างทางไปหมด เราได้จองที่ตรงหัวโค้งพอดี พาเรดนี้ ประมาณเดียวกันกับที่ Tokyo Disneyland หรือ LA Disneyland ส่วนใหญ่ก็เป็นการนำตัวเอกๆ หรือฉากเด็ดจากหนังของ Walt Disney ประกอบกับการเต้นจากนักเต้นที่ใส่เสื้อผ้าสีฉูดฉาด แน่นอนต้องมี Mickey Mouse, The Beast มี แม่มด มีซินเดอเรล่า พาเรดน่าจะร่วมๆชั่วโมงหนึ่งนะ....จบจาก Day Parade เราไปชมโรงละคร แสดงตุ๊กตา แต่ต้องนั่งเรือ พาไหลวกไปวนมา มีหุ่นตุ๊กตา หมุนไปหมุนมา กับเสียงเพลงกระหึ่มไปตลอดทาง เป็นเพลงตุ๊กตา ทำนองแบบ คล้ายๆ เพลง Merry Christmas....ออกจากที่นี่เราไปล่องเรือจริงๆ เขาป่า ประมาณ อเมซอน มีหุ่น สัตว์ มาให้ดู เผินๆเหมือนของจริงเหมือนกันเมื่ออยู่ในกลางป่ารกๆ.....รอชมMagic Kingdom ชุดที่2ต่อ นะครับ
































หน้า 1 2 3 4 5 ... 10