IT Amusing Club
General Category => ท่องเที่ยว => หัวข้อที่ตั้งโดย: Sompong เมื่อ พฤศจิกายน 24, 2021, 09:21:45 หลังเที่ยง
วัยเก๋าเล่าเรื่องเที่ยว ท่องโลกกว้าง หลังเกษียณ ฉากที่3
วัยเก๋าเล่าเรื่องเที่ยว....ตอน..."ท่องโลกกว้าง หลังเกษียณ" ฉากที่ 3....เมื่อตอนที่แล้วได้เล่าให้ฟังว่า Disney World มี่ 4 Theme Park ใหญ่ๆ ต้องซื้อตั๋วผ่านเข้าไป กับอีกแหล่งขายของที่ระลึกคือ Disney Downtown ที่ Disney Downtown เข้าฟรีครับ เราเลือกไปที่นี่ก่อนในวันที่ 15 เมษายน 2013 ที่นี่ประมาณ สยามสแควร์ บ้านเรา แต่ ร้านค้ามีทั้งติดๆกัน และตั้งห่างๆกัน ตรงกลางเป็น สระกว้างๆ น่าจะเป็น Pond มากกว่าเป็น Lake คือพื้นที่ที่ Florida เป็นที่ต่ำ มีสระ ทะเลสาบ คูคลองเยอะมาก แถมมีจระเข้ มากซะด้วย สนามก๊อล์ฟบางสนามที่นี่จะพบไอ้เข้มานอนผึ่งแดดบ่อยมาก....ร้านรวงที่นี่มีลูกเล่นลูกฮา ดึงดูดลูกค้า สินค้าส่วนใหญ่ คือของที่ระลึก เช่นพวกตุ๊กตุ่น ตุ๊กตา ที่แทนตัวแสดงในหนังการ์ตูนของ Disney แน่นอน ต้องมี Micky Mouse ที่นี่กว้างมาก เรา ก็เดินกันเช้ายันเย็น ที่เลือกที่นี่เป็นแห่งแรกเพราะต้องการสร้างความคุ้นเคยกับการเดินทางใน Disney World ด้วย แต่ถ้าท่านที่ไปเที่ยวที่นี่แล้วมีเวลาน้อย ก็ไม่แนะนำให้ไปเสียเวลากับ Disney Downtown เพราะ Theme Park แต่ละแห่งก็มีร้านขายของที่ระลึก แค่อาจมีน้อยร้านกว่า
เช้าวันที่ 16 1013 ได้เวลาตะลุย Theme Park ที่แรกที่เราไปคือ Epcot อย่างที่เล่าให้ฟังว่าเราพักอยู่ที่โรงแรม Sheraton ซึ่งอยู่นอก Disney World เราต้องนั่ง แท็กซี่ ง่ายๆก็ให้ฝ่ายต้อนรับของโรงแรมเรียกให้ ราคาก็ไม่แพงครับ น่าจะราวๆ 300-400 บาทไทย เรานั่งแท็กซี่ไปลงที่ชุมสายรถเมล์ จะไป Theme Park ไหนก็ต้องรอรถเมล์สายนั้น รถเมล์นี่วิ่งไปถึง Resort ต่างๆภายใน Disney World ด้วย อย่างที่บอก ว่ามันใหญ่ราวอำเภอเล็กๆของบ้านเราเลยครับ..... Epcot คือ Theme Park ที่แสดงเรื่องเกี่ยวกับโลกอนาคต เทคโนโลยี่ล้ำๆ เรื่องเกี่ยวกับอวกาศ รวมไปถึงเครื่องเล่นต่างๆก็มาแนวๆนี้ มีโรงหนังที่ที่นั่งเป็นอัฒจรรย์ แต่มันจะยกเอียงไปมาได้ตามหนังเลย แล้วมีหนังประมาณ 360 องศา เหมือนพาเราเหาะไปชมท้องฟ้าทะเลน้ำตก.... มีเหมือนยานอวกาศ ให้เราเข้าไปอยู่ในยานแคบๆ แล้วเหมือนขึ้นจรวดออกไปนอกโลก ได้สัมผัสกับแรง G เลย มีแบบรุ่นแรงระดับคนสูงวัย กับของวัยรุ่น ตอนแรกของของคนสูงวัย เออสนุกดี เลยไปลองแบบวัยรุ่น เล่นซะแทบอ๊วกแตก....มีรถไฟด่วน Roller Coaster แน่นนอน วิ่งอยู่ในโดมมืดๆ นี่ก็แทบอ๊วก... มีมุมที่เป็นส่วนโบราณอยู่บ้าง มีส่วนที่แสดงชีวิตใต้ทะเล ส่วนที่แสดงการปลูกพืชผักในโรงเรือน ที่เด็ดสุดๆของที่นี่คือ หัวค่ำมีงานแสดงพลุ แต่คนเยอะมากจนหาที่ตั้งขากล้องไม่ได้ แถม ฝีมือการถ่ายพลุของผมสมัยนั้นอยู่ขั้น อนุบาล 1 พอหมดการแสดงพลุก็ได้เวลารวมพลกลับโรงแรม เห็นไหมครับว่า เราเลือกที่นี่เป็นวันที่สองที่มาถึง เพราะมัน ต้องเดิน...เดิ้น....เดิน เช้ายันมืน แนะนำว่าใครจะมาเที่ยว คงต้องฟิ๊ตร่างกายกันหน่อยนะ และหารองเท้าที่เดินสบายๆด้วยนะครับ ไม่งั้นงานกร่อย แน่ๆ
วัยเก๋าเล่าเรื่องเที่ยว ท่องโลกกว้าง หลังเกษียณ ฉากที่4
วัยเก๋าเล่าเรื่องเที่ยว....ตอน..."ท่องโลกกว้าง หลังเกษียณ" ฉากที่ 4....เช้าวันที่ 17 วันนี้เราจะไป Theme Park ที่สองคือ Disney Hollywood พอเดาออกไหมว่า Park นี้เขาจะนำเสนออะไรเอ่ย??? ถูกต้องครับ พอขึ้นว่า Hollywood ก็ต้องเสนอเรื่องหนังที่ผลิตโดย บริษัท Walt Disney จะมีโชว์จัดกันไว้เป็นจุดๆ แห่งแรกที่เราไปคือโรงละคร วันนี้เขาแสดงเรื่อง ทรามวัยกับอสูร Beauty and the Beast ประมาณละครเวที....จากนั้นเราไปให้ผีหลอกที่ตึกผีสิง เขาให้เข้าไปนั่งในลิฟต์ แล้วปล่อยลิฟต์ให้ ร่วง บางห้องเปิดมา เจอหุ่นผีมาหลอกซะหน่อย ตอนปล่อยลิฟต์นี่ตัวลอยเลยครับ ดีที่มีคันล็อกที่ตัก....ได้ไปชม โรงแสดงหนัง The Pirate ก็สนุกสนานดี แต่ละจุดต้องเข้าคิวชมเป็นรอบๆ แต่รอไม่นาน ไม่เหมือนที่ Tokyo Disneyland บางจุดรอนานเป็นชั่วโมงเลย เว้นแต่ใช้บัตรผ่าน แบบ Fast Track ปกติต่อบัตรเข้า Park หนึ่งใบ เขาจะให้เราเลือกใช้ Fast Track ได้สองจุดนะ ถ้าจำไม่ผิด เราต้องเลือกใช้กับจุดยอดนิยม....สำหรับที่นี่จุดที่ตื่นตาตี่นใจ เป็น Highlight คือการแสดงการขับขี่รถผาดโผน ทั้งรถยนต์ มอเตอร์ไซด์ เจ็ตสกี ตีกันวุ่น ลอดระเบิดเพลิงลุกท่วม ไม่รู้จะบรรยายอย่างไร....ตกกลางคืนมีการแสดง แสงสีเสียง เล่าเป็นเรื่องเป็นราวให้ชมกัน ส่วนใหญ่ ก็รวมมิตรเล่าเรื่องหนังของเขาแหละ มีฉายผ่านม่านน้ำ ประกอบน้ำพุ กับพลุ ไม่ค่อยได้ดูที่ไหนมาก่อนก็ตื่นตาตื่นใจดี.....จบโชว์แสงสีเสียง ก็เป็นอันว่าถึงเวลากลับโรงแรม....วันนี้คุณพิมพ์ ขอสละสิทธิ์ เพราะรองเท้าทำพิษมาหลายวัน เธอเลยอยู่เฝ้าโรงแรม และเตรียมอาหารเย็นให้พวกเรา ห้องที่เราพักมี มุมครัว พร้อมอุปกรณ์ สามารถทำอาหารได้.....อาบน้ำ ทานอาหารอร่อย เก็บแรงไว้เจอ Theme Park ที่ใหญ่ และขึ้นชื่อที่สุดของที่นี่.....พรุ่งนี้
วัยเก๋าเล่าเรื่องเที่ยว ท่องโลกกว้าง หลังเกษียณ ฉากที่5
วัยเก๋าเล่าเรื่องเที่ยว....ตอน..."ท่องโลกกว้าง หลังเกษียณ" ฉากที่ 5....ชุดที่1...วันนี้เราจะมาท่อง Theme Park ที่สาม ของ Disney World...... Magic Kingdom อาณาจักรแห่งเวทยมนต์ ถ้าใครมา Disney World แล้วมีเวลาจำกัด อาจต้องตัดบาง Theme Park ออก ขอบอกว่า จะตัด Park ไหนก็พอได้ แต่ห้ามตัด Park นี้เด็ดขาดครับ เพราะ Magic Kingdom เปรียบเสมือน Signature ของ Disney World ก็ว่าได้.... วันนี้วันที่ 19 เมษายน 2013 .....ถ้าผมจำไม่ผิด การเดินทางจาก สถานีชุมทางรถมาที่ Magic Kingdom เป็น Park เดียวที่ใช้ รถไฟ ไม่ได้ใช้รถบัสเหมือน Park อื่นๆ น่าจะเป็นเพราะ ผู้เข้าชมที่นี่มีเยอะมาก คงจะมีอะไรดีๆแน่เลย.....จากทางเข้าเราจะเห็น ปราสาท ที่เป็นสัญลักษณ์ ที่เปิดเป็นโลโก้ของหนังของ Walt Disney ทุกๆเรื่อง มีหลายคนให้ความเห็นว่า ปราสาทนี้เลียนแบบมาจาก ปราสาท นอยชวานชไตน์ Neuschwanstein Castle แถวแคว้น บาวาเรียของ เยอรมันนี.... ตอนที่เราเดินตามถนนหลักไปที่ปราสาท ก็จะมีร้านรวงขายของที่ระลึก มีมุมเครื่องเล่น ก็เป็นเช่นสวนสนุกทั่วไป แต่ที่เด็ดช๊อตแรกของที่นี่เริ่มที่ Day Parade อยู่บนเส้นทางตั้งแต่ถนนหลังปราสาท แล้วจะเดินเลยไปถนนหลักหน้าปราสาท...คนมารอกันแน่นสองข้างทางไปหมด เราได้จองที่ตรงหัวโค้งพอดี พาเรดนี้ ประมาณเดียวกันกับที่ Tokyo Disneyland หรือ LA Disneyland ส่วนใหญ่ก็เป็นการนำตัวเอกๆ หรือฉากเด็ดจากหนังของ Walt Disney ประกอบกับการเต้นจากนักเต้นที่ใส่เสื้อผ้าสีฉูดฉาด แน่นอนต้องมี Mickey Mouse, The Beast มี แม่มด มีซินเดอเรล่า พาเรดน่าจะร่วมๆชั่วโมงหนึ่งนะ....จบจาก Day Parade เราไปชมโรงละคร แสดงตุ๊กตา แต่ต้องนั่งเรือ พาไหลวกไปวนมา มีหุ่นตุ๊กตา หมุนไปหมุนมา กับเสียงเพลงกระหึ่มไปตลอดทาง เป็นเพลงตุ๊กตา ทำนองแบบ คล้ายๆ เพลง Merry Christmas....ออกจากที่นี่เราไปล่องเรือจริงๆ เขาป่า ประมาณ อเมซอน มีหุ่น สัตว์ มาให้ดู เผินๆเหมือนของจริงเหมือนกันเมื่ออยู่ในกลางป่ารกๆ.....รอชมMagic Kingdom ชุดที่2ต่อ นะครับ
วัยเก๋าเล่าเรื่องเที่ยว ท่องโลกกว้าง หลังเกษียณ ฉากที่8
วัยเก๋าเล่าเรื่องเที่ยว....ตอน..."ท่องโลกกว้าง หลังเกษียณ" ฉากที่ 8....วันนี้วันที่ 25 เมษายน 2013 เราจะบินจาก Miami ซึ่งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ ของสหรัฐอเมริกา ทแยง ไปทาง ตะวันตกเฉียงเหนือ ของอเมริกา ที่เมือง Vancouver ประเทศ Canada เมืองนี้ อยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ หรือจะพูดว่าใต้สุดของ Canada อยู่เหนือเมือง Seattle ของสหรัฐอเมริกา ระยะเวลาบินแปดชั่วโมงครึ่ง เครื่องต้องลงจอดระหว่างทางหนึ่งครั้ง ในขณะที่เวลาต่างกันอยู่ สาม ชั่วโมง คือ ถ้าเวลาที่ไมอามี่เป็นเวลา 9:00 น. เวลาที่ Vancouverจะเป็น 6:00 น. จะไปที่นี่ทำไม??? ขออุบไว้ก่อนนะ ค่อยมาเฉลย แน่นอนถ้าเข้าประเทศ คานาดา ก็ต้องขอวีซ่า เข้าคานาดามาด้วย อีกเรื่องที่อยากแนะนำ ถ้าใครจะเข้าไปเที่ยวคานาดา กรุณา แลกเงินเหรียญคานาดามาด้วย อย่าได้เอา เงินเหรียญสหรัฐไปแลกที่โน่น หาที่แลกยาก บางแบ้งค์ไม่รับแลก หรือรับก็ต้องชี้แจงกันนัว แถมปกติอัตราแลกเปลี่ยน ของเหรียญคานาดา ถูกกว่า เงินเหรียญสหรัฐ แต่พอไปแลกที่คานาดา บางวันมันปรับราคาเท่ากันเลย เจอมาแล้ว มึนนนน ไปถึง Vancouver ก็ร่วมสี่โมงกว่า ห้าโมงเย็น ผมจองที่พักไว้ที่ Club Intrawest โดยจองผ่าน Member Club ที่ผมเป็นสมาชิก ผมพิมพ์เอกสารใบจอง แต่ดันเก็บไว้ในกระเป๋าใหญ่ พอลงเครื่องก็ขี้เกียจเปิดกระเป๋า หาที่อยู่ใน Net ก็ได้ฟ๊ะ จับแท็กซี่ได้ก็ตรงไป ตามที่อยู่ที่ได้มาจาก Net.....พอไปถึงถนน ผมมองหาตึกโรงแรม จำได้ว่ามันคุยไว้ในเว็ป เป็นตึกสูงๆราวสามสิบกว่าชั้น....5555แถวนี้ไม่มีเลย สักตึก ให้แท็กซี่วนหาก็ไม่เจอ ก็เลยให้เขาจอดให้ลงข้างถนน แล้วให้สาวน้อยของผมยืนเฝ้ากระเป๋า ผมก็เดินหาตามเลขที่บ้านที่ได้มา....เจอแล้วตึกไม่กี่ชั้น มี รปภ นั่งเอกขเนก ดูไม่เหมือนโรงแรมเอาซะเลย เอาแล้วเราถูกเทแน่ๆเลยตอนนี้ก็เกือบ หกโมงเย็น....ผมเลยเข้าไปถาม รปภ ว่า รู้ไหมว่า Reception ของที่พักของ Club Intrawest อยู่ส่วนไหนของตึกนี้ คุยกันอยู่พักหนึ่ง ได้คำเฉลย คือ ตึกนี้เป็นอาคารสำนักงาน ตอนนี้พนักงานเขาเลิกงานกันไปแล้ว ส่วนที่พัก อยู่ที่โรงแรม Sheraton อยู่ในเมืองละครับ ผมรีบเดินกลับมาหาคุณภรรยาคิดว่าคงขี้มูกโป่งไปแล้ว.....พอเธอเห็นหน้าผม กลับแซวมาทันทีว่า อูหู หน้าซีดเชียว....สรุปว่าต้องจับแท็กซี่ย้อนไปที่ โรงแรม Sheraton (ชื่อเต็มๆคือ Sheraton Vancouver Wall Centre) คือไอ้เจ้า Club นี้เช่าที่ สามชั้นบนสุดของโรงแรม มาทำห้องพักให้สมาชิก เอาว่าได้ เช็คอิน เรียบร้อย ห้องนอนส่องวิวอ่าว สวยงาม พระอาทิตย์กำลังจะตกพอดี...
ช่วงที่เราไปเป็นช่วงหน้าร้อน ดอกไม้กำลังออกดอกเต็มเมืองไปหมด โดยเฉพาะดอกทิวลิป หลังอาหารเช้า ในวันรุ่งขึ้น เรากะเดินสำรวจเมือง โดยจะพากันเดินไปทางท่าเทียบเรือ เรียกให้เท่ห์คือ Waterfront เขาปลูกดอกไม้ โดยเฉพาะทิวลิปไว้ หน้าอาคาร หรือตรงไหนที่พอจะมีสวน และมันกำลังออกดอกสะพรั่งเลย เดินชมไปถ่ายภาพไป มันก็ไกลนะ แต่ไม่รู้เดินได้อย่างไร จนไปถึงท่าเทียบเรือ มีปฏิมากรรมล้ำๆให้ดูอยู่บ้าง มีรูปเหมือนเข็มสีน้ำเงิน เมืองนี้คงมี เรื่องราวอะไรเกี่ยวกับเข็มแหงๆเลย....มีเรือรบเรือดำน้ำดำทะมึนจอดอยู่ที่ท่าเรือ เดินไปอีกหน่อยเจอกับสนามบินน้ำ มีเครื่องบินจอดอยู่หลายลำ เห็นว่ามีบริการบินท่องเที่ยว เราได้มีโอกาสลงไปหาอะไรกินที่ Food Court ที่ Waterfront....เดินไปชมดอกทิวลิป หลากสี หลากพันธุ์ และบางพันธุ์มีรูปดอกแปลกตาไปจากที่เราคุ้นเคย ตะลอนกันจนเย็น ช่วงขาเดินกลับเกือบถึงโรงแรม มีร้านขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ขอแวะเข้าไปสักหน่อย....ปกติเราจะคุ้นเคยกับไวน์แดง ไวน์ขาว บางคนก็เป็นคอเฉพาะหน่อยก็จะ ไปเลือกแชมเปญ หรือไม่ก็ Sparkling Wine.....มีใครเป็นแฟนไวน์ หวานๆ หอมๆบ้างไหมครับ? แคนาดามีชื่อเรื่องไวน์หวานหอม เขาเรียกว่า Ice Wine ที่ได้ชื่อนี้เพราะบังเอิญ ไอ้เจ้าคนเยอรมันคนหนึ่ง มันซุกซน ไปเก็บองุ่นช่วงหน้าหนาวที่มีหิมะตกหนัก มาทำไวน์ แล้วก็พบว่าองุ่นช่วงนั้นหวานมาก พอมาทำก็หลงใหลในรสชาติ แล้วอีตาคนนี้ก็ถึงกับย้ายบ้านไปทำไร่องุ่นเพื่อทำไวน์ชนิดนี้ที่แคนาดาซะเลย เพราะที่นี่คงหนาวกว่าเยอรมันมั้ง หมอนี่ชื่อ Karl Kaiser เขามาทำไวน์ชื่อกระฉ่อน คือ Inniskillin มันจะเป็นขวดเล็กๆเรียวยาวๆ ขวดหนึ่งมีราว 200 ซีซี ราคาตั้งแต่ 60-70 เหรียญ ไปบีนร้อยเหรียญ แล้วแต่พันธุ์องุ่นครับ ที่เมืองไทย ด้วยภาษี 200% ก็ต้องมีหกเจ็ด พันไปถึงเป็นหมื่นบาทละครับ ไปถึงแหล่งต้นตำหรับอย่างนี้ต้องจัดหน่อย ได้มาสองขวด สบายใจไทย์แลนด์....ถ้าใครไปแคนาดา แนะนำว่าอย่าพลาดนะครับ ผมนี่หลงหัวปักหัวปำเลย.....ไวน์นะครับ ไวน์จริงๆ
ยังมีภาพของชุด นี้อีกหน่อยครับ
วัยเก๋าเล่าเรื่องเที่ยว....ตอน..."ท่องโลกกว้าง หลังเกษียณ" ฉากที่ 8....(ชุดที่3)
เช้าวันถัดมา วันนี้เราใช้ Hop Bus ตะเวนแทน รถบัสพาเราออกนอกใจกลางตัวเมือง ไปในแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยม จุดต่างๆ แต่วันนี้อากาศปิด แถมมีฝนปรอยๆ คงลงถ่ายรูปยากหน่อย เราผ่านหน้า พิพิธภัณฑ์ Museum of Vancouver (MOV) แม้ว่าผมเป็นแฟนพิพิธภัณฑ์ แต่คราวนี้ รักจริงหวังแต่งมาไกล เวลาน้อย เห็นทีขอเก็บแค่รูปด้านหน้าเป็นที่ระทึกก็พอ....ถ้าใครมา Vancouver จุดหนึ่งที่ต้องมีรูปคือ นาฬิกาไอน้ำ (The Gastown Steam Clock) ประมาณว่า นาฬิกาไอน้ำมีแค่ สองเรือน ในโลกใบนี้คือ ที่นี่และที่ฮ็อกไกโดของญี่ปุ่น มันตั้งอยู่บนฟุตบาต แถบย่าน Gastown ใกล้ๆกับ Waterfront ที่เรามาเมื่อวาน แถวนี้ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของใจกลางเมืองนี้ด้วยนะครับ จากนั้นรถบัส พาเราไปที่ Stanley Park ซึ่งตั้งอยู่ที่แหลม ฝั่งตรงข้ามท่าเทียบเรือ Waterfront.....ที่นี่มีจุดน่าสนใจหลายจุด จุดแรก เป็นกลุ่ม Totem Pole ก่อนจะไปไกล มารู้จักกับไอ้เจ้า Totem Pole มันคืออะไรหว่า....มันคือเสาไม้เดี่ยวแกะสลักเป็นรูปหน้าคน หรือรูปนก ทาสีฉูดฉาดก็มี ไม่ทาสีก็มี เป็นของชนเผ่าอินเดียแดง เป็นสื่อเพื่อบอกว่ากระโจมนี้เป็นตระกูลไหน วันนี้ ฝนไม่เป็นใจคงเก็บรูปไม่ได้มากมาย ตรงสวนสาธารณะแห่งนี้ มีปติมากรรม อีกหลายอัน เช่น รูปนักว่ายน้ำสาวในชุด Wetsuit นั่งบนก้อนหิน ประมาณ นางเงือกสาวที่สงขลา หรือ เงือกสาว แถวสแกนดิเนเวีย นั่นแหละ มีปติมากรรม Harry Jerome นักวิ่งโอเล็มปิก กำลังวิ่ง และมุมหนึ่งเราจะเห็นสะพานแขวน Lion Gate Bridge วิ่งข้ามไปอีกฝั่ง ให้วิวสวยไปอีกแบบ แล้วมีปติมากรรม เอาแท่งหินมาวางซ้อนกันคล้ายรูปคน ชื่อ Inukshuk ประมาณว่าเป็น Landmark ของสวนสาธารณะนี้เลยทีเดียว
เราออกจากสวน Stanley ขึ้น Hop Bus ต่อไปยัง Granville Island เป็นท่าจอดเรือ ยอร์ช เรือเล็ก เรือเช่า ท่องเที่ยว ที่นี่ผสมผสานกับตลาด ขายอาหาร ขายผลไม้ มีการทำสิ่งละอันพรรณละน้อย ก็เดินเพลินดีนะครับ เดินกันจนเย็นแล้วเราก็กลับมาย่าน Gastown เป้าหมายคือไปทานอาหารเย็น บนภัตตาคารลอยฟ้า Vancouver Lookout Tower ถ้าไปเมืองไหนที่มี Tower ปกติเขาจะเก็บค่าขึ้น ที่นี่ก็เช่นกัน ถ้าจะขึ้นไปชมวิว ต้องซื้อตั๋ว ในราคา 12 +/- ยูโร ผมแนะนำให้ ไปทานอาหารที่นี่ซะเลย เพิ่มเงินอีกนิดหน่อย ผมเป็นแฟนพันธ์แท้ของ Tower ไปเมืองไหนถ้ามี Tower ขอจัดโปรแกรม ไปทานเย็นที่ Tower ซะเลย เท่าที่ผมใช้บริการมา อาหารต่อหัวน่าจะราวๆ 35-50 ดอลล่าร์ ครับ พอเป็นแขกของภัตตาคารก็ไม่ต้องซื้อตั๋ว แต่....ควรต้องโทรจองล่วงหน้า เล่นเดินดุ่ยๆเข้าไป อาจเต็มได้นะครับ เวลาที่เหมาะคือ ขึ้นไปก่อนมืด แล้วทานอาหารจนมืด ก็จะได้ชมแสงสีตอนกลางคืน ภัตตาคารแบบนี้ส่วนใหญ่ ส่วนที่นั่งทานอาหารมักจะหมุนช้าๆได้รอบตัว คือชมวิวได้ทุกมุมเลย...ดีไหมครับ ต้องดีแน่นอน ลองชมภาพอาหารดูนะ น่าทานมว๊าก ขอบอก.....
วัยเก๋าเล่าเรื่องเที่ยว....ตอน..."ท่องโลกกว้าง หลังเกษียณ" ฉากที่ 8...(ชุดที่4)
เช้าวันต่อมา เราใช้ Hop Bus อีกวัน วันนี้เราไป ที่ Stanley Park อีก แต่เป็นมุมที่ชื่อ The Rose Garden แต่ช่วงนี้มีแต่ดอก ทิวลิป ไม่มีดอกกุหลาบให้เห็นเลย ที่นี่มีบ้านเก่าๆอยู่หลังหนึ่ง ดอกทิวลิปกำลังเบ่งบานสวยงามมาก เลยเก็บรูปมาอวดกันซะบานเบอะ ออกจาก Rose Garden ขอแวะกลับไปเก็บภาพที่ Totem Pole เพราวันก่อนฝนตกมาพรำๆ เลยไม่ได้ถ่ายรูปมาเลย วันนี้แดดเป็นใจ...อ้าวเสาไหน บรรพบุรุษใครไปตามหากันเองนะ
วันต่อมาวันนี้เราไปชมสวน ซุน ยัด เซ็น ที่นี่แน่นอนประมาณว่า ย้อนไปประมาณหนังจีนโบราณ มีสวนไม้พุ่มเป็นส่วนใหญ่ และมีศาลาจีน มีสระน้ำ แน่นอนมีต้นหลิวเป็นเอกลักษณ์ วันนี้สบายๆ เบาๆ บ่ายๆก็กลับไปเก็บรูปหน้าโรงแรม พรุ่งนี้เราต้อง เช็คเอ้าท์ เพื่อไป....ที่ที่เราอุบไว้ตั้งแต่วันที่เรามาถึง
และแล้วเช้าวันที่ 30 เมษายน 2013 เป็นวันที่เราต้องบอกลา Club Intrawest หลังอาหารเช้ายังพอมีเวลา เราเลยขึ้นไปสำรวจ สำนักงาน ของ Intrawest มีมุมให้ถ่ายรูป หลายมุม ก่อน จะกลับมาเช็คเอาท์ จับแท็กซี่ ไป Waterfront.....ไปท่าเรือทำไมนะหรือ???? ลองทายดูครับ....แล้วเจอกันที่ท่าเรือนะครับ!!!!